นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยหลังมอบนโยบายทำงานให้กับทูตพาณิชย์ไทยที่ประจำอยู่ทั่วโลก และพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศว่า ได้มอบนโยบายการทำงานให้กับทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัด ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเรียกประชุม “ทีมไทยแลนด์” ทั้งเอกอัครราชทูตไทยที่ประจำอยู่ทั่วโลก ทูตพาณิชย์ ตัวแทนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ประจำอยู่ทั่วโลก รวมถึงภาคเอกชน 10-20 ราย เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เป็นต้น วันที่ 21-23 พ.ย.นี้ เพราะนายกฯต้องการเห็นทีมไทยแลนด์ที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ ทำงานเชิงรุก ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ และหาแนวทางใหม่เพิ่มศักยภาพของประเทศ
“นายกฯจะมอบนโยบายการทำงานเพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน พร้อมทั้งจัดทำเวิร์กช็อป ขยายบทบาทเชิงรุกของประเทศ และร่วมเสนอความคิดเห็น พร้อมรับฟังนโยบายเพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิผล”
สำหรับการมอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์นั้น ได้แจ้งไปว่า ต้องทำงานเชิกรุก เพราะถือเป็นด่าน แรกในการเจรจาการค้ากับนักธุรกิจทั้งรายใหม่ รายเก่า และต้องประสานงานกับพาณิชย์จังหวัดให้เกิดความเข้มแข็ง โดยเอาสินค้าของแต่ละจังหวัด มาทำการตลาดต่างประเทศ แต่ทูตพาณิชย์ต้องบอกความต้องการของตลาดให้กับพาณิชย์จังหวัดและผู้ประกอบการได้รับทราบจะได้ผลิตสินค้าได้ตรงความต้องการผู้บริโภคและสามารถส่งออกได้ พร้อมกันนั้น ให้ทั้งพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ ดูช่องทางการค้าใหม่ๆ เช่น ค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งอาจเป็นลูกหลานของเกษตรกร ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการขายสินค้าและสร้างการรับรู้สินค้าไทยให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน สั่งการให้ทูตพาณิชย์ค้นหาร้านไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ไทยซีเลกต์ (Thai SELECT) ในประเทศที่ตนประจำอยู่ ที่ได้รับความนิยม 5 อันดับแรกหรือท็อป 5 จาก 1,620 แห่งทั่วโลก เพื่อเป็นที่จัดแสดงสินค้าไทยและภูมิปัญญาไทย เช่น อาหาร เพลง มวยไทย เป็นต้น ผลักดันให้เป็นซอฟต์เพาเวอร์ โดยพร้อมส่งเสริมประชาสัมพันธ์ เพราะจะเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างการรับรู้ของสินค้าและอาหารไทย
“ผมอยากเห็นร้านอาหารไทยซีเลกต์ เป็นตู้โชว์สินค้าไทย ให้มีการตกแต่งร้าน หรือดีไซน์ร้านโดยใช้สินค้าไทย ทั้งของประดับตกแต่งต่างๆ ผ้าทอ ผ้าไหม แล้วก็มีอาหารไทย ใช้วัตถุดิบต่างๆ จากไทย ซึ่งจะทำให้คนในประเทศนั้นๆรู้จักสินค้าไทย ที่เป็นซอฟต์เพาเวอร์ของไทยมากขึ้น ซึ่งได้แจ้งทูตพาณิชย์ว่า หากภายใน 2 ปี ถ้ามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ แม้อยู่ในประเทศเล็ก ก็ย้ายไปอยู่ประเทศที่ดีกว่าได้ แต่หากไม่มีผลงานอาจถูกย้ายกลับ ไม่ต้องรอให้ครบวาระ 4 ปี ซึ่งไม่ใช่การลงโทษ แต่ปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้”.