นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ได้ประชุม กกร.เป็นการเร่งด่วน และได้พิจารณากำหนดให้สินค้าน้ำตาลทรายเป็นสินค้าควบคุมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เพื่อป้องกันผลกระทบกับประชาชน และทุกภาคส่วนที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบ ทั้งสินค้ากลุ่มอาหารกระป๋อง เครื่องดื่ม ขนมหวาน ที่อาจปรับขึ้นราคาหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้ประกาศปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานกิโลกรัม (กก.) ละ 4 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยน้ำตาลทรายขาว เพิ่มเป็น กก.ละ 23 บาท จากเดิม กก.ละ 19 บาท และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ เพิ่มเป็น กก.ละ 24 บาท จากเดิม กก.ละ 20 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นเป็น กก.ละ 28 บาท และ กก.ละ 29 บาทตามลำดับ จากเดิม กก.ละ 24 บาท และ กก.ละ 25 บาทตามลำดับ
ทั้งนี้ หลังจากกำหนดให้เป็นสินค้าควบคุมแล้ว ได้กำหนด 2 มาตรการ คือ 1.กำหนดราคาจำหน่ายหน้าโรงงานที่ กก.ละ 19 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาว และ กก.ละ 20 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และควบคุมราคาจำหน่ายปลีก กก.ละ 24 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาว และ กก.ละ 25 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเท่ากับว่า น้ำตาลทรายยังคงจำหน่ายในราคาเดิม ไม่มีการปรับขึ้น ส่วนจังหวัดอื่นๆที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จะกำหนดราคาตามระยะทางและต้นทุนการขนส่งต่อไป
2.ควบคุมการส่งออกตั้งแต่ 1 ตัน หรือ 1,000 กก. ขึ้นไป โดยต้องขออนุญาตจากคณะอนุกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้น มีเลขาธิการ สอน.เป็นประธาน มีรองอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นรองประธาน มีตัวแทนจาก สอน.เป็นเลขานุการ และตัวแทนกรมการค้าภายในเป็นผู้ช่วยเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการกำกับดูแลต่อไป เพื่อให้น้ำตาลทรายมีเพียงพอใช้ในประเทศ ไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก
“การนำน้ำตาลทราย กลับมาเป็นสินค้าควบคุม เพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์มีความห่วงใยประชาชนที่จะได้รับผลกระทบ จึงต้องกำกับดูแล โดยราคาขายให้ยึดที่ กกร.ประกาศ ส่วนที่ สอน.ประกาศ ก็ไม่มีผล และให้กลับไปทำให้สอดคล้องกับมติ กกร. ซึ่งจะนำมติ กกร.เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 31 ต.ค.นี้ และประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ทันที”
สำหรับการดูแลชาวไร่อ้อย ยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบ ยังได้รับสิทธิประโยชน์ตามเดิม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ดูแล และรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่ ส่วนผู้ประกอบการร้านค้า ขอให้จำหน่ายสินค้าในราคาเดิม เพราะน้ำตาลทรายไม่ปรับขึ้นราคาแล้ว หากมีการขายเกินราคาควบคุมจะมีความผิด มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีกักตุนจะมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นการขายเกินราคาหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมให้ร้องเรียนสายด่วน 1569
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจโมเดิร์นเทรด พบว่าห้างโมเดิร์นเทรดหลายๆแห่งไม่มีน้ำตาลวางจำหน่าย เช่น ที่ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาเดอะวอล์ค ปรากฏว่าชั้นวางน้ำตาล ไม่มีน้ำตาลวางจำหน่าย แม้มีการติดป้ายที่ราคา กก.ละ 24 บาท และ 25 บาท ส่วนน้ำตาลพรีเมียมที่มีราคาสูงมีจำหน่ายตามปกติ ขณะที่บิ๊กซี ติวานนท์ ได้ติดประกาศจำหน่ายให้สมาชิกไม่เกินรายละ 3 ถุง โดยจำหน่าย กก.ละ 24 บาท และ กก.ละ 25 บาท เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสานและสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศ ไทยได้ออกแถลงการณ์ว่า อุตสาหกรรมอ้อยน้ำตาลทรายสร้างรายได้ให้แก่ประเทศปีละ 200,000 ล้านบาท สร้างงานสร้างอาชีพให้กับเกษตรกร 2,000,000 คน ขณะที่ต้นทุนชาวไร่อ้อยช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากจากปุ๋ยและยาคุมหญ้าที่แพงขึ้น 3 เท่าตัว ค่าแรงงานปรับตัวสูงขึ้น แต่ผลผลิตกลับลดลง โดยปีการผลิต 2565/66 คาดว่าไม่ถึง 75 ล้านตัน ทำให้ชาวไร่ต้องเป็นหนี้เงินกู้จำนวนมาก ขณะที่นายทุนโรงงานเครื่องดื่ม โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบใช้น้ำตาลในราคาถูกมาโดยตลอด.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่