สิ่งที่ “ไทย” ไม่เป็นสองรองใคร นอกจากจะเป็นประเทศท่องเที่ยวยอดนิยมแล้วนั้น “การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์” (Medical Tourism) ก็นับว่าไทยได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเดินทางมาท่องเที่ยวทั่วไป แต่กระนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยกลับมองว่า ช่วงท่ีเหลือของปี 66 ต่อเนื่องปี 67 รายได้คนไข้ต่างชาติรวมของโรงพยาบาลเอกชนใน SET จะเติบโตชะลอลงจากการปรับฐาน และยังต้องติดตามปัจจัยท่ีมีผลต่อการตัดสินใจเดินทางของคนไข้อย่างใกล้ชิด
ในช่วงที่เหลือของปี 2566 ต่อเนื่องถึงปี 2567 รายได้คนไข้ต่างชาติ ซึ่งรวมคนไข้ต่างชาติที่ทํางานในไทย (EXPAT) และคนไข้ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามารับการรักษา (Fly-in) ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน น่าจะเติบโตชะลอลง ส่วนหนึ่งเป็นผลของการทยอยปรับฐานสู่สถานการณ์ก่อนโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว กระทบต่อกําลังซื้อของคนไข้ต่างชาติบางส่วน เช่น เศรษฐกิจจีน ที่แม้ว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 จะเติบโตได้ที่ 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ในช่วงที่เหลือของปียังมีปัจจัยกดดันให้ฟื้นตัวได้จํากัด
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่า รายได้คนไข้ต่างชาติรวมของโรงพยาบาลเอกชนในปี 2567 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.7 หมื่นล้านบาท ขยายตัวราว 8.0-10.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เติบโตชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2565-2566 ที่ขยายตัวได้ดี ซึ่งเป็นการปรับฐานสู่สถานการณ์ก่อนโควิด-19 ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า ยังต้องติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ประกอบกับนโยบายดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติของรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้และจํานวนคนไข้ต่างชาติในปี 2567
ส่วนทางด้านรายได้จากคนไข้ Fly-in มีแนวโน้มที่จะทยอยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะมีสัดส่วนรายได้ในปี 2567 ราว 49% ของรายได้คนไข้ต่างชาติรวม ขณะที่สัดส่วนรายได้คนไข้ EXPAT จะอยู่ที่ 51% ของรายได้คนไข้ต่างชาติรวม ทั้งนี้ ตลาดคนไข้ Fly-in หลัก ยังเป็นกลุ่มตะวันออกกลาง และอาเซียนที่มีศักยภาพ รวมถึงต้องติดตามการกลับมาของคนไข้จีน ส่วนตลาดคนไข้ EXPAT มีโอกาสเติบโตได้ในพื้นที่เศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จํานวนคนไข้ต่างชาติจะอยู่ที่ราว 3.07 ล้านคน/ครั้ง ซึ่งทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องจากช่วงโควิด-19 แต่ยังให้ภาพการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันกําลังซื้อและการตัดสินใจเดินทาง
ตลาดคนไข้ Fly-in ในปี 2567 ยังมีคนไข้หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่
สําหรับการกลับมาของคนไข้จีน และเพิ่มโอกาสการรักษาพยาบาลจากนักท่องเที่ยวจีนนั้น ยังต้องติดตามประเด็นความเชื่อมั่นในการเดินทางและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ที่อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวบางส่วนชะลอการเดินทางไปต่างประเทศ โดยคนไข้จีนส่วนใหญ่เข้ามารับบริการตรวจสุขภาพ การรักษาภาวะมีบุตรยาก และมีความต้องการบริการศัลยกรรมความงาม และการแพทย์ชะลอวัยมากขึ้น
ส่วนคนไข้ EXPAT เดินทางกลับเข้ามาหลังโควิด-19 คลี่คลาย และมีโอกาสเติบโตในพื้นที่เศรษฐกิจ อย่างชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ ทั้งนี้ ต้องติดตามผลของนโยบายดึงดูดการลงทุน และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของภาครัฐ ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของธุรกิจต่างชาติ และส่งผลต่อจํานวนคนไข้ EXPAT ในอนาคต โดยเฉพาะประเทศหลักๆ อย่างจีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ที่มีเม็ดเงินขอรับการส่งเสริมการลงทุน จาก BOI มากที่สุดเป็น 3 ลําดับแรก ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 ซึ่งอาจทําให้มีบุคลากรจากต่างประเทศเข้ามา ทํางานเพิ่มขึ้นได้ในระยะข้างหน้า
ดังนั้นหากมองไปข้างหน้า สัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ของโรงพยาบาลเอกชนกลุ่มที่มีคนไข้ต่างชาติ คนไข้ไทยกําลังซื้อสูง และกลุ่มที่มีโรงพยาบาลในเครือหลายสาขา น่าจะมีแนวโน้มลดลง จากอานิสงส์การทยอยฟื้นตัวของรายได้คนไข้ต่างชาติ และสะท้อนถึงความยืดหยุ่นในการบริหารต้นทุน ขณะที่โรงพยาบาลที่เน้นคนไข้ไทยกําลังซื้อปานกลาง
และโรงพยาบาล Stand-alone จะมีความท้าทายในการจัดการต้นทุน เนื่องจากกําลังซื้อของคนไข้บางส่วน อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น ท่ามกลางปัจจัยกดดันหลายด้าน ผู้ประกอบการคงจะยังให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงาน เพื่อรักษาความสามารถการทํากําไรของธุรกิจ ซึ่งจะทำให้โอกาสที่ตลาดคนไข้ต่างชาติในไทย จะเติบโตเพิ่มขึ้นเหมือนดังเช่นในปีที่ผ่านๆ มา