นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และจำนวนนักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยไม่เป็นตามคาดการณ์ไว้ 27.7 ล้านคน จาก 29.5 ล้านคน มีรายได้จากการท่องเที่ยวของต่างชาติ 1.18 ล้านล้านบาท ทำให้ต้องปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 66 อีกครั้ง นับเป็นครั้งที่ 4 ของปีนี้เหลือ 2.7% โดยครั้งแรกเดือน ม.ค.อยู่ที่ 3.8% ครั้งที่ 2 เดือน เม.ย.3.6% และครั้งที่ 3 เดือน ก.ค. 3.5% สำหรับปี 67 สศค.คาดการณ์เศรษฐกิจจะขยายตัว 3.2% ภายใต้ 3 ปัจจัยซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น 3.1% การส่งออกเพิ่มขึ้น 4.4% และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทย 34.5 ล้านคน สร้างรายได้ 1.49 ล้านล้านบาท
“การคาดการณ์เศรษฐกิจปี 67 ครั้งนี้ยังไม่นำโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทมาคำนวณ รวมถึงมาตรการอื่นๆ ของรัฐบาล เนื่องจากรอความชัดเจน หากมีความชัดเจนเมื่อใด สศค.พร้อมจะประเมินเศรษฐกิจอีกครั้งในต้นปีหน้า นอกจากนี้ต้องเกาะติดสงครามในอิสราเอล ภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง ทำให้คนจีนไม่มาเที่ยวไทยตามเป้าหมาย ปัญหาภัยแล้ง ส่งผลต่อการปลูกพืชผลทางการเกษตรและมีผลต่อรายได้และรายจ่ายครัวเรือนด้วย”
ด้านนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ยังชะลอตัวและลดลงจากช่วง 6 เดือนของปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งเศรษฐกิจของจีน และยอดขายของสินค้าเคมีคอล อยู่ในช่วงขาลงทุกชนิด ทำให้มีรายได้ 125,649 ล้านบาท ลดลง 12% ขณะที่กำไรอยู่ที่ 2,441 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ผมยังคาดหวังว่า ไตรมาส 4 เศรษฐกิจอาเซียนมีแนวโน้มดีขึ้นเนื่องจากผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่จะมีการลงทุนและการบริโภคเพิ่มขึ้น จากการก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ นูซันตารา จะทำให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างและปูนซีเมนต์มากขึ้น จึงเป็นโอกาสดีของเอสซีจี ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น จากภาคอสังหาริมทรัพย์ และการค้าในเมืองท่องเที่ยว ที่ได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันดีเซลอาจปรับตัวลดลงทำให้ควบคุมต้นทุนด้านพลังงานได้ดีขึ้น”
นายธรรมศักดิ์ เดชอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะความขัดแย้งในตะวันออกกลาง, สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ อาจกดดันให้ต้นทุนราคาพลังงานผันผวน ราคาวัตถุดิบพุ่งสูง รวมถึงตลาดจีนยังชะลอตัว ผนวกกับธุรกิจปิโตรเคมียังไม่ฟื้นตัวดี และการขึ้นดอกเบี้ยรวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เอสซีจีต้องจับตาสถานการณ์ต่างๆอย่างต่อเนื่อง.