นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กลุ่มยานยนต์ฯกำลังติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างประเทศอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการสู้รบยังจำกัดพื้นที่ และประเทศไทยส่งออกรถยนต์ไปยังอิสราเอลไม่มากนัก แต่ยอมรับว่าหากการสู้รบขยายวงกว้างไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกยานยนต์ในช่วงปลายปีนี้ได้เช่นกัน “รถยนต์เป็นสินค้าส่งออกของไทยไปยังอิสราเอลเป็นอันดับหนึ่งของสินค้าส่งออกทั้งหมดที่ส่งไปที่อิสราเอล ล่าสุดปีที่ผ่านมามีการส่งออกรถยนต์ไปอิสราเอล มูลค่า 243 ล้านเหรียญสหรัฐฯและ 8 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่า 124 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 1% ของการส่งออกรถยนต์รวม ขณะที่การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางคิดเป็น 16% ของการส่งออกรถยนต์รวม ถือเป็นตลาดใหญ่อันดับ 3 ที่ประเทศไทยส่งออกรองจากตลาดเอเชียที่มีสัดส่วน 31% ออสเตรเลีย 28% ในปัจจุบัน”
ขณะเดียวกันเฉพาะประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศที่มีสัดส่วนส่งออกรถยนต์ของประเทศไทย สูงสุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง จึงทำให้กลุ่มยานยนต์ค่อนข้างกังวล หากการสู้รบมีการขยายพื้นที่เพิ่มเติมออกไปมากกว่าปัจจุบัน จึงต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดเพราะอาจทำให้การส่งออกรถยนต์รวมของไทยลดลงในปีนี้ สำหรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปีนี้ กลุ่มยานยนต์ฯคาดว่าจะอยู่ที่ 1,900,000 คัน แบ่งเป็นผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 850,000 คัน ผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน ซึ่งหากพิจารณายอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ 8 เดือนแรกปีนี้มียอดขาย 524,784 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6.21% จึงคาดว่าเป้าผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศ มีแนวโน้มไม่ถึงเป้า.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่