ว่ากันว่า “โลกธุรกิจ” ปัจจุบันนับเป็นยุคทองของนักธุรกิจหน้าใหม่ ที่มาพร้อมกับไอเดีย และความกล้าได้-กล้าเสีย จนทำให้ทุกวันนี้มีเศรษฐีใหม่อายุยังน้อยเกิดขึ้นในไทยเป็นจำนวนมาก โดยเครื่องสะท้อนการประสบความสำเร็จอาจเป็น “บ้านหรู” หลังใหญ่ในทำเลทองสักหลัง
นี่จึงทำให้ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่า “ตลาดบ้านหรู” ในไทย มีความคึกคักอย่างมาก โดยในแต่ละสัปดาห์มีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถลงข่าวเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวหรูตั้งแต่หลังละ 10 ล้านบาท เรื่อยไปจนถึงแพง ราคาเริ่มต้น 100 ล้าน หรือ 200 ล้านบาท เป็นต้น
สำหรับสถานการณ์ตลาดบ้านหรู ณ ครึ่งปีแรก 2566 ข้อมูลของ บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เผยว่า หากนิยามตลาดบ้านหรูด้วยระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านขึ้นไป ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง
เพราะแม้ว่าตลาดกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนในแง่จำนวนน้อยที่สุด แต่กลับเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูง และมีอัตราการเติบโตดี โดยปัจจุบันมีหน่วยขายได้สะสมทั้งสิ้น 21,597 หน่วย จากซัพพลายที่เกิดขึ้น 27,274 หน่วย ซึ่งหากคิดเป็นอัตราการขายจะอยู่สูงที่ 79.2% เลยทีเดียว สะท้อนภาพความต้องการ ดูดซับซัพพลายได้ดี
ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ มองหาที่ดินในทำเลต่างๆ เพื่อพัฒนาบ้านในระดับราคาสูง ที่มาพร้อมกับสภาพแวดล้อมดีๆ ออกสู่ตลาดมากขึ้น ด้วยแรงดูดจากกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง และเป็นผู้ซื้อที่ไม่มีปัญหา หรืออ่อนไหว ในเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือหนี้สินแต่อย่างใด
ต่างจากบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท พบจะเป็นกลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนสูง และยังพบปัญหาในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้มีกำลังซื้อลดลง ผู้ประกอบการจึงต้องเข้าถึงกลุ่มที่มีศักยภาพในการซื้อสูงดังกล่าวแทน
ทั้งนี้ หากจำแนกเป็นระดับราคา พบส่วนใหญ่ 53% เป็นบ้านระดับราคา 10-20 ล้านบาท รองลงมา 21-30 ล้านบาท (20%), มากกว่า 50 ล้านบาท (12%), 31-40 ล้านบาท (11%) และ 41-50 ล้านบาท (4%)
โดยผลสำรวจพบตลาดบ้านที่มีระดับราคา 10-20 ล้านบาท ยังมีความต้องการในตลาดมากที่สุด มีหน่วยขายได้ 1,272 หน่วย คิดเป็น 60% ของหน่วยขายได้ทั้งหมด กลุ่มผู้ซื้อเป็นคนไทย 100%
ซึ่งสิ่งที่น่าพิจารณานั้นพบว่า กลุ่มผู้ซื้อบ้านระดับราคา 10-20 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่อยู่ในช่วงอายุ 30-35 ปี มีทั้งกลุ่มที่ทำธุรกิจส่วนตัว หรือแม้แต่เป็นกลุ่มที่ทำงานบริษัทเอกชนมาได้สักระยะ มีการเติบโตในสายงานที่รวดเร็ว และมีรายได้มากขึ้น จึงเริ่มต้นซื้อเป็นบ้านหลังแรก
โดยการแยกจากครอบครัวใหญ่ เพื่อสร้างครอบครัวมาใช้ชีวิตคู่ ซึ่งต่างก็มองหาบ้านที่มีสังคม และสภาพแวดล้อมการเป็นอยู่ที่ดีให้ตัวเอง เพราะมองว่ามีศักยภาพ และความสามารถในการผ่อนได้
ส่วนบ้านที่มีซัพพลายมากที่สุดยังคงเป็นบ้านที่มีระดับราคาขายที่ 10-20 ล้านบาท อยู่ที่ 12,425 หน่วย รองลงมาคือ บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 21-30 ล้านบาท และ 31-40 ล้านบาท มีดีมานด์อยู่ที่ 3,905 หน่วย และ 2,623 หน่วย ตามลำดับ
โดยกลุ่มผู้ซื้อที่ซื้อบ้านช่วงราคาตั้งแต่ 30 ล้านขึ้นไปนั้น จะซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 เป็นกลุ่มผู้ซื้อคนไทยที่มีความมั่งคั่งทางการเงิน และประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งเป้าหมายในการซื้อบ้านระดับราคาที่สูงมากนั้นก็เพื่อเป็นการพักผ่อน และเป็นที่ที่สามารถรวมครอบครัวในช่วงเวลาที่มีการพบปะรวมญาติในเทศกาลต่างๆ ได้
ส่งผลให้แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีผู้ประกอบการในบริษัทมหาชน และผู้ประกอบการรายย่อย จะมีการเปิดตัวโครงการบ้านเทียบเท่ากับครึ่งปีหลังของปี 2565 ที่ผ่านมา หรือประมาณที่ 3,000 หน่วย
ซึ่งจากแผนการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในตลาด และปรับรูปแบบฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยการเปิดตัวโครงการในครึ่งปีหลังจะอยู่ในโซนที่เชื่อมต่อระหว่างเมือง และใกล้ทางด่วน ซึ่งจะมีระดับราคาช่วงระหว่าง 10-20 ล้านเป็นส่วนใหญ่
ในขณะที่ซัพพลายใหม่โซนถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ยังเป็นโซนนิยม ที่ผู้ประกอบการเลือกที่จะพัฒนาโครงการเพราะเป็นโซนที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี อีกทั้งราคาที่ดินที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงมองเห็นโอกาส และคาดว่าจะมีการพัฒนาโครงการบ้านที่มีระดับราคาในช่วง 80-100 ล้าน เพิ่มขึ้นมาในตลาด เนื่องจากพื้นที่โซนนี้คาดว่าจะเป็นทำเลทองแห่งใหม่ในอนาคต.