ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.45 น. ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลเศรษฐกิจของเชียงใหม่ ว่า เรื่องเศรษฐกิจเชียงใหม่หลังประกาศยกเว้นวีซ่าจีน ได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการบ้างแล้ว และได้เห็นการทำบุ๊กกิ้งหรือการจองเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ ตรงนี้ตนไม่ห่วงว่าจะมีคนเข้ามาท่องเที่ยวเยอะ เยอะดี แต่ปัญหาที่ตามมาคือเรื่องความมั่นคง ซึ่งได้สั่งการผู้การเชียงใหม่ไปว่าเรื่องนี้สำคัญอย่าให้บกพร่องหรือมีปัญหา เรื่องกลุ่มจีนเทาหรืออื่นๆที่เป็นเรื่องไม่ดีงาม ส่วนเรื่องงบประมาณกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตนไม่ห่วงเราสามารถทำได้ แต่เรื่องความปลอดภัยความมั่นใจของนักท่องเที่ยวที่มาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราเองตอนนี้ก็แย่งนักท่องเที่ยวจีน และทราบดีว่าเศรษฐกิจเขาไม่ดี เขาก็ต้องไปประเทศที่ปลอดภัยที่สุด ในเชิงพีอาร์เชิงรุกเราก็จะทำ ส่วนเรื่องที่ไม่ดีทั้งหลายที่มีการเผยแพร่ไปเกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งตนได้พูดคุยกับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ท่านยอมรับว่าเป็นเฟกนิวส์ แต่ทำอย่างไรที่ใช้การพีอาร์เชิงรุก เชื้อเชิญคนจีนหรือนักท่องเที่ยวต่างๆให้เข้ามาท่องเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่นี้ได้
เมื่อถามว่ามีการประเมินตัวเลขเม็ดเงินเข้าไทยหลังเปิดฟรีวีซ่าจีนเท่าไหร่ นายกฯกล่าวว่า กำลังประเมินอยู่ เพราะมีเรื่องทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ด้วย ส่วนจะมีการยกเว้นวีซ่าให้ประเทศอื่นๆเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า กำลังจะมีอยู่ ต้องพิจารณาในหลายมิติ เพราะบางประเทศเราก็ต้องการสิ่งตอบแทนบ้างเหมือนกัน ต้องดูดีๆ จะพิจารณาแต่ละประเทศโดยเอาข้อมูลสถิติมาดู และอาจมีการยืดระยะเวลา ทั้งนี้ ขอเวลาศึกษาก่อน แต่ต้องให้ทันไฮซีซันปีนี้ แต่ไฮซีซันของแต่ละทวีปก็ต่างกันไป ทั้งนี้ การท่องเที่ยวของประเทศไทยหากบริหารจัดการให้ดีมีระบบที่ดี ตนเชื่อและเป็นความฝันของตนว่าทุกๆเดือนจะเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยวของประเทศไทย
ขณะที่ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT กล่าวว่า หลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีนโยบายเร่งด่วนเรื่องการท่องเที่ยว และต้องการผลักดันให้จังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ เป็นศูนย์กลางการขนส่ง รองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคต และการกระจายความเจริญสู่จังหวัดรอบกลุ่มอันดามัน โดยเร่งให้ลงทุนพัฒนาสร้างท่าอากาศยานนานาชาติอันดามันนั้น
นายกีรติกล่าวว่า แผนพัฒนาท่าอากาศยานอันดามันนั้น เดิมเคยมีการศึกษาไว้แล้ว เบื้องต้นตามแผนแม่บทจะพัฒนาเป็นท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ 2 บริเวณตำบลโคกกลอย จังหวัดพังงา บนพื้นที่ 6,000 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราชพัสดุ และเมื่อเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทอท.จะเร่งหาและจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการลงทุน คาดว่าจะได้ที่ปรึกษาปลายปีนี้ และใช้เวลาในการศึกษาแผนราว 8 เดือน หลังจากศึกษาแล้วเสร็จก็จะออกแบบรายละเอียดการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตพื้นที่ทั้งหมด วิธีการก่อสร้าง งบประมาณ และการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA หลังจากนั้นจะนำเสนอต่อสภาพัฒน์ฯ เพื่อนำเสนอ ครม.เพื่อขออนุมัติดำเนินโครงการ โดยขั้นตอนการศึกษา ออกแบบรายละเอียดและขั้นตอนการขออนุมัติ คาดว่าจะใช้เวลาราว 3 ปี หลังจากนั้นจึงเปิดประกวดราคา และดำเนินการก่อสร้างคาดว่าใช้เวลา 4 ปี รวมระยะเวลาในการดำเนินโครงการทั้งหมดประมาณ 7 ปี นับจากปี 2567 ดังนั้นจึงคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2573-74
สำหรับการลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานอันดามัน เบื้องต้นอยากพัฒนาให้เป็นท่าอากาศยาน 2 รันเวย์ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการรองรับอากาศยานและรองรับผู้โดยสาร 40 ล้านคน เพื่อให้เป็นศูนย์กลางขนส่งกลุ่มอันดามัน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 70,000 ล้านบาท ซึ่ง ทอท.จะเป็นผู้ดำเนินการลงทุนเพียงรายเดียว เนื่องจากมีกระแสเงินสดเพียงพออยู่แล้ว การลงทุนก่อสร้างแบ่งเป็น 2 เฟส ในเฟสแรกสร้างรองรับผู้โดยสาร 15 ล้านคนก่อนขยายในเฟสที่ 2 “ผู้โดยสารของท่าอากาศยานภูเก็ตปัจจุบันมีผู้โดยสาร 12 ล้านคนต่อปี ท่าอากาศยานกระบี่มีผู้โดยสาร 5 ล้านคนต่อปี รวมเป็น 17 ล้านคน ขณะที่ความต้องการเดินทางมายังภูเก็ต กระบี่ และพังงามีมากกว่านี้ แต่สลอตเต็มท่าอากาศยานรองรับไม่พอ ขณะที่ยังมีแนวโน้มเติบโต ดังนั้นจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างสนามบินอันดามัน”
ส่วนการลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 จะทำควบคู่ไปพร้อมกับท่าอากาศยานอันดามัน แต่เชียงใหม่จะมีความยากกว่าเพราะที่ดินตรงพังงาส่วนใหญ่เป็นที่ดินราชพัสดุ แต่ที่ดินเชียงใหม่เป็นที่ดินเอกชน การจัดหาที่ดินยากและล่าช้า ที่ดินที่ศึกษาไว้ก็ยังเป็นพื้นที่เดิม คือ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ราว 5,000-6,000 ไร่ เงินลงทุนประมาณ 70,000 ล้านบาท หรืออาจจะสูงกว่านิดหน่อยเพราะเชียงใหม่ 2 ต้องลงทุนซื้อที่ดินทั้งหมด.