ว่ากันว่าหากสิ่งที่จะลบข้อครหาและแรงต้านทางสังคม สำหรับการเกิดขึ้นของ “รัฐบาลสลายขั้ว” หรือ “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” ที่ประชาชนเลือกมาเป็นอันดับสอง หาใช่ที่หนึ่งไม่ ได้อย่างรวดเร็วที่สุด
นั่นก็คือการทำผลงานให้เห็นเป็นประจักษ์ โดยเฉพาะในแง่เศรษฐกิจ ตามที่พรรคเพื่อไทยเคยขายฝันเอาไว้ ว่าทันทีที่มีโอกาสได้ขึ้นเป็นรัฐบาล จะเร่งเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส ให้กับคนไทยทุกคน
แต่ท่ามกลางเครื่องยนต์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ ที่จะฟีดเงินเข้าระบบได้มากที่สุด ผูกโยงคนทำงานมากที่สุด อย่าง “การส่งออก”นั้น กำลังน่าห่วงอย่างหนัก เพราะอยู่ในภาวะ ติดลบต่อเนื่องมาแล้ว 10 เดือน
ความหวังเดียวที่จะช่วยกระชากเศรษฐกิจไทยได้ทันทีทันใด จึงหนีไม่พ้นการกระตุ้น “ภาคการท่องเที่ยว” ที่ฉายเดียวอยู่ในขณะนี้ เพราะแม้หลังโควิด เครื่องยนต์นี้จะทำงานได้ดี แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้ กลับยังห่างเป้าหมายที่ไทยอยากให้เป็นอยู่มากนัก
ข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 20 สิงหาคม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยรวมทั้งสิ้น 17.03 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 741,421 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 2.66 ล้านคน จีน 2.11 ล้านคน เกาหลีใต้ 1.02 ล้านคน อินเดีย 0.98 ล้านคน และรัสเซีย 0.90 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปไม่ได้สูงมากนัก เฉลี่ยเพียง 41,000 บาทต่อคนเท่านั้น เทียบกับ 48,000 บาทต่อคนในช่วงปี 2562 หรือก่อนเกิดโควิด-19
จากสถานการณ์ข้างต้น เราจึงได้เห็นเกมเร่ง เกมลัด Speed to Market ออกมาจาก นายกรัฐมนตรีสายธุรกิจ “เศรษฐา ทวีสิน” ที่ใช้กลยุทธ์ รับ-รุก และเร็ว สะท้อนออกมาในหลายๆ ความเคลื่อนไหว ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เป็นทางการ เมื่อ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา
ตั้งแต่การเลือกเดินทางลงพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ ภูเก็ตและพังงา เพื่อพูดคุย หารือ ยกระดับการท่องเที่ยวในพื้นที่ และประกาศสร้าง-ปรับปรุงสนามบิน เพื่อให้เป็นหน้าด่านที่สมศักดิ์ศรี ใช้กระตุ้นเม็ดเงินเข้าประเทศ โดยเฉพาะหากสามารถสร้างสนามบินแห่งใหม่ที่ จ.พังงา ได้ เชื่อว่าจะสร้างตัวเลขเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน
พร้อมๆ กับที่นายกฯ เศรษฐา ประกาศว่า “รัฐบาลเพื่อไทย” ตั้งใจจะขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในทุกมิติ ทั้งส่วนที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยว การพัฒนาระบบคมนาคมและสาธารณูปโภค ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องอาศัยผู้ประกอบการในการเตรียมการรับนักท่องเที่ยวด้วย
หนึ่งในนโยบายสร้างรายได้หลักของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ต้องเร่งดำเนินการตอนนี้ คือ การพลิกฟื้นการท่องเที่ยว เพราะถูกมองว่าจะเป็นหนทางที่จะนำเงินนอกมาปลุกเศรษฐกิจไทย ให้เงินไหลเข้าประเทศได้เร็วที่สุด ซึ่งในตอนนี้นักท่องเที่ยวกำลังไหลกลับเข้ามา จึงถือเป็นโอกาสดีที่ไทยต้องเร่งเตรียมความพร้อมให้ได้มากที่สุด
โดย “เศรษฐา” ตั้งเป้าหมายยิ่งใหญ่ ระบุประเทศไทยจะต้องกลับมามีรายได้จากการท่องเที่ยวจากเดิม 1.9 ล้านล้านบาท เป็น 3.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2567 ให้ได้
อย่างไรก็ดี อาจต้องยอมรับว่านักท่องเที่ยวจีนที่เคยเป็นกำลังหลัก ตอนนี้กำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่เป็นเบอร์ 1 ในการท่องเที่ยวของไทย ลดน้อยถอยลง ไม่ได้กลับมาท่องเที่ยวอย่างที่ไทยคิด
อีกทั้งจีนเองยังมีมาตรการดึงคนของตัวเองให้ท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อหวังจะบูสต์เศรษฐกิจของตนเองที่กำลังเปราะบางเช่นกัน ทำให้ความหวังว่าภายในสิ้นปี 2566 ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวจีน รวม 5-7 ล้านคน อาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะ 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) ตัวเลขยังไม่ถึง 2 ล้านคนด้วยซ้ำ ทำให้อีก 4 เดือนที่เหลือ อยู่บนความท้าทายอย่างมาก
นายกฯ ระบุ ปัญหาเศรษฐกิจของจีน ทำให้ความอยากมาท่องเที่ยวนอกประเทศของคนจีนน้อยลง เกมสำคัญ คือ ต้องแข่งขันที่จะดึงดูดพวกเขาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวีซ่า, การบริหารจัดการ (Operations) ของสนามบินเอง, การจัดการเที่ยวบิน (Flight), การลำเลียงกระเป๋า และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง
แน่นอนในอนาคตอาจต้องดูด้วยว่าสนามบินจะมีความสามารถในการรองรับ (Capacity) เป็นอย่างไร และยังต้องดูไปถึงเมืองรองอื่นๆ ด้วย ซึ่งนาทีนี้ดูเหมือน นายกฯ ใหม่ป้ายแดง จะเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพมาก และควรมีสถานะเป็นฮับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เสียด้วยซ้ำ
การเตรียมความพร้อมรับการท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นแน่นอน นอกจากจะต้องแก้ไขเกี่ยวกับความพร้อมในส่วนของสายการบิน ที่พบขณะนี้ ยังมีปัญหาคอขวดต่างๆ เช่น ความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร (Capacity) ของอาคารสนามบิน (Terminal), การตรวจคนเข้าเมือง, การรองรับเที่ยวบินของรันเวย์ (Runway Capacity) แล้ว
ประเด็นเรื่องวีซ่า Free Visa เพื่อสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวชาวจีน ก็ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นใหญ่เช่นเดียวกัน หลังพบว่าขณะนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีความต้องการเข้ามาท่องเที่ยวในไทย เจอกับความยุ่งยากในการขอวีซ่า ทั้งในแง่ราคา เอกสาร และระยะเวลาในการอนุมัติวีซ่า
กลายเป็นโจทย์ใหญ่ หากวันนี้การท่องเที่ยวไทยมีหมุดหมาย คือ การดึงดูดชาวจีนเข้ามาท่องเที่ยวให้มากขึ้น จะต้องแก้ไขอย่างไร เพื่อให้ทันกับวันชาติจีน 1 ต.ค. ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญ เพราะในไทม์ไลน์ดังกล่าว จะมีการใช้จ่าย เดินทางมากกว่าปกติ ขณะเดียวกันก็กำลังเข้าใกล้ช่วงไฮซีซั่นการท่องเที่ยวของไทยปลายปีด้วยเช่นกัน หากช้าอาจไม่ทันการ
ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ปรากฏภาพ “หาน จื้อเฉียง” เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และคณะ เข้าพบ “เศรษฐา ทวีสิน” เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งนายกฯ
เศรษฐา ระบุ นับเป็นโอกาสดี ที่นอกจากจะได้พูดคุยกันเกี่ยวกับความร่วมมือ ความสัมพันธ์ของไทย-จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นแล้ว ยังได้ใช้เวลาสำคัญดังกล่าวหารือถึงแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยมาตรการต่างๆ รวมถึงการลงทุนในอนาคตกับจีนด้วย
ขณะเดียวกัน ล่าสุดมีรายงานข่าวในเรื่องแนวทางแก้ปัญหาฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน ที่มีความเป็นไปได้มากขึ้น หลุดออกมาจากคนในวงดินเนอร์หรูระหว่างนายกฯ กับนักธุรกิจใหญ่ของไทย ในช่วงค่ำวันจันทร์ (28 ส.ค.) ที่ผ่านมา
โดย “สนั่น อังอุบลกุล” ประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยว่า มีการถกกันเรื่อง ระบบ E-Visa ของไทยที่มีปัญหา และเป็นอุปสรรคต่อนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยรัฐบาลใหม่กำลังพิจารณาฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนเป็นการชั่วคราว
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จริง ก็นับว่ามีความสอดคล้องกับสิ่งที่สายการบินต่างๆ เคยเสนอภาคการเมืองไปช่วงก่อนหน้านี้ พบว่าในวงสนทนากับคนระดับเจ้าสัว ยังมีพูดคุยกันถึงการเพิ่มเที่ยวบิน ไทย-จีน ให้มากที่สุดด้วยเช่นกัน
ในมุมมองของประธานหอการค้าไทยนั้น ระบุว่า แม้ขณะนี้เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ 30 ล้านคน จะเป็นเรื่องท้าทาย แต่คาดว่าจะมีโอกาสที่สิ้นปีนักท่องเที่ยวจะทะลุ 28.5 ล้านคนได้ หากนโยบายฟรีวีซ่าจีนออกมาได้เร็ว ก็จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาได้ทันช่วงวันชาติ และไฮซีซั่นท่องเที่ยวไทยที่กำลังจะมาถึง เพราะอย่างไรเสีย แม้เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัว จีนรณรงค์ให้ท่องเที่ยวภายในประเทศแทน แต่ลึกๆ ยังเชื่อว่ามีชาวจีนอีกมาก ที่อยากเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศ โจทย์คือไทยต้องทำตัวให้เอื้อ และเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาได้ง่ายที่สุด ....
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ พรรคเพื่อไทยมีแผนที่จะโปรโมตการท่องเที่ยวต่างประเทศในปีหน้า ไม่ใช่เฉพาะแค่จีน แต่ระบุว่า รัฐบาลพร้อมจะส่งเสริมผลักดันให้ไทยมีความพร้อมทุกด้าน ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ
อย่างไรเสีย ขณะนี้งานใหญ่ที่สุด หากแต่เป็นการกระตุกภาคการท่องเที่ยวอย่างแรง เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นประตูสร้างรายได้ใหญ่ กระจายเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจให้ได้เร็วที่สุด เพื่อรับรองโอกาสทองช่วงไฮซีซั่นที่กำลังจะมาถึง.....