หอการค้าชี้การเมืองเริ่มนิ่ง ส่งผลให้จีดีพีไทยฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ขณะที่นโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทใช้งบ 5 แสนล้าน ช่วยให้เกิดการหมุนเงินในระบบสูงถึง 1.5 ล้านล้าน ช่วยดันเศรษฐกิจปี 67 จีดีพีโต 5-7%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้มีความจำเป็นต้องกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกของปีนี้ขยายตัวเพียง 2.2% ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 3% เป็นอย่างน้อย แต่เมื่อมีรัฐบาลแล้ว เชื่อว่าจะเพิ่มความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ขณะที่การเมืองนิ่งจะทำให้คนเชื่อมั่นในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และจะมีการลงทุนกลับมาส่งผลให้เศรษฐกิจไทยน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาสนี้
“ขณะที่ในปีหน้าที่คาดว่าจะเริ่มใช้นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งจะรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 500,000 ล้านบาท ในส่วนนี้มองว่าเป็นนโยบายที่ออกโดยนายกรัฐมนตรีเอง และขณะนี้สังคมกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องของการพูดว่าใครพูดอะไรแล้วต้องทำ จึงเชื่อว่านโยบายนี้สามารถทำได้แน่นอนและจะสามารถหาเงินมาใช้ได้อย่างเพียงพอ โดยมองว่าภายใต้การขาดดุลงบประมาณที่สามารถทำได้สูงสุดประมาณ 4% หรือประมาณ 700,000 ล้านบาท จึงสามารถดึงเงินส่วนนี้มาใช้ในโครงการนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเกินกว่าเพดานที่กำหนดไว้ เพียงแต่อาจจะต้องชะลอโครงการอื่นๆของรัฐบางโครงการออกไป”
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า จากการประเมินภาพการณ์หากมีการแจกเงินดิจิทัลประชาชนส่วนใหญ่จะเริ่มใช้ค่อนข้างเร็ว หรือใช้ทันทีที่ได้เงิน ทำให้คาดว่าเงินที่ออกมาจะหมุนไปในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 2-3 รอบ จาก 500,000 ล้านบาท จะหมุนได้สูงเป็น 1-1.5 ล้านล้านบาท โดยรัฐอาจจะออกแบบการใช้เป็นการให้เงินครั้งเดียว หรือแบ่งเป็นลอตๆ ลอตละ 3,000-4,000 บาท เพื่อกระจายให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นระยะเวลา และกำหนดเงื่อนไขให้ซื้อสินค้าไทย เพื่อให้เม็ดเงินกระจายในประเทศไทยจะทำให้เงินหมุนได้หลายรอบมากขึ้น
ตามสถิติหากรัฐใส่เงินเข้าไปในระบบ 100,000 ล้านบาท จะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ 0.3-0.7% ดังนั้น หากใส่เงินเข้าไป 500,000 ล้านบาท ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวประมาณ 2-3% ดังนั้น หากเดิมมองว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัวประมาณ 3-4% บวกอีก 2-3% จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ถึง 5-7% ซึ่งถือว่าใหญ่มาก และการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รัฐบาลได้ภาษีมูลค่าเพิ่มกลับมาจากการใช้จ่ายของประชาชน โดยคาดว่าได้เงินเพิ่ม 30,000-35,000 ล้านบาท และยังจะได้ภาษีบุคคลและนิติบุคคลจากภาคธุรกิจที่ขายของได้เพิ่มในปีถัดไปด้วย
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า การที่ได้นายก รัฐมนตรี คุณเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานเชิงธุรกิจได้รับการยอมรับความสามารถในการบริหารธุรกิจระดับแสนล้าน ยิ่งที่มีข่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะรับหน้าที่ รมว.คลัง และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยนั้น ทำให้เห็นว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจ และตามข่าวคาดว่า รมช.คลัง อาจเป็นอดีตข้าราชการจะมาช่วยเสริมในเรื่องกฎระเบียบ หากดูรูปแบบเอกชน ซีอีโอจะมอบให้ผู้บริหารระดับสูงทำงาน และทีมงานเพื่อไทยที่เคยมีประสบการณ์ เข้ามาช่วยอีกจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งมากขึ้น
สำหรับงานเร่งด่วนที่ต้องทำ คือ การโรดโชว์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ต่างประเทศ การทำความตกลงเปิดเขตการค้าเสรี การผลักดันตลาดใหม่ อย่างตะวันออกกลางเพื่อกระตุ้นการส่งออก เพราะเศรษฐกิจปีหน้าจะโตเศรษฐกิจโลกต้องไม่ชะลอตัวรุนแรง และการเร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ทั้ง ตะวันออกกลาง เวียดนาม อินเดีย และรัสเซีย เข้ามาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น ทดแทนนักท่องเที่ยวจีน.