“นายกฯคนที่30” กับ “เงินดิจิทัลเพื่อไทย” กลายเป็นคำที่ถูกค้นหา และพูดถึงมากในสุดในโลกโซเชียลมีเดียเมื่อวานนี้ หลังจากประเทศไทยสิ้นสุดการรอคอย นายกรัฐมนตรีคนใหม่ บนภาพการเมืองที่กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เปิดฉากใหม่ที่ประวัติศาสตร์ยังต้องจารึก เมื่อเรามีนายกรัฐมนตรี มาจาก 2 ขั้วขัดแย้ง ยิ่งชวนให้จับตามอง ถึงห้วงเวลาตลอด 4 ปี นับหลังจากนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ยังไม่แน่ชัด ว่า ครม.ชุดใหม่ ที่นำโดย “เศรษฐา ทวีสิน” จะประกอบไปด้วยใครบ้าง และนโยบายเร่งด่วนของพรรคเพื่อไทย จะถูกผลักดันออกมาเมื่อไร จากคำเรียกร้องของภาคเอกชน ว่าขณะนี้ เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างอ่อนแอและเปราะบางมากขึ้น ก็เพราะความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล และไม่มี นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ออกมา
ทั้งนี้ ชุดนโยบายเร่งด่วนของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจมีความน่าสนใจอย่างมาก แต่นโยบายที่ดูเหมือนจะหวือหวา และร้อนแรงมากที่สุดในเวลา ก็คือ กระเป๋าเงินดิจิทัล บ้างเรียก เงินดิจิทัลเพื่อไทย หรือดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท
ซึ่งแท้จริงแล้ว ชื่ออย่างเป็นทางการของนโยบายนี้ ในนิยามของพรรคเพื่อไทย คือ “กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท” บนคำยืนยันว่า จะเป็นมาตรการเร่งด่วน ที่พรรคเพื่อไทยจะทำทันทีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
เบื้องต้นมาพิจารณากันก่อนว่า ภายใต้ “นโยบายเงินดิจิทัล”นั้น ทำหน้าที่ ต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไรก่อน รอคอยว่าพรรคเพื่อไทย จะเปิดให้ลงทะเบียนรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท เมื่อไร และวิธีใช้จ่ายเงินดิจิทัล ทำอย่างไรได้บ้าง ?
พรรคเพื่อไทย ชูความคิด “หยิบเงินในโลกยุคใหม่ใส่มือประชาชน” เสนอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ “ใช้จ่ายใกล้บ้านด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet)” โดยใครบ้างที่จะได้รับเงินดิจิทัล ถูกกำหนดชัดเจน ไว้ว่า คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จะได้ ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ (Digital Wallet) และมีรายละเอียดอื่นๆ เช่น
ขณะเงื่อนไขจุดคิดที่สำคัญของเป้าประสงค์ของนโยบายนี้ คือ พรรคเพื่อไทย ระบุ ทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้จ่ายไปจะหมุนเวียนเข้ามาเป็นภาษีของรัฐบาล เพื่อเอาเงินไปสนับสนุนประชาชนให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ระยะสั้นช่วยเพิ่มเงินในระบบ ส่วนระยะยาว จะเป็นใบเบิกทาง สร้างระบบการเงินใหม่ นำไทยสู่ศูนย์กลาง FinTech ของภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในเงื่อนไข ของนโยบายดังกล่าว ที่ระบุไว้ว่า จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ปั๊มเศรษฐกิจในชุมชน พบ เงินดิจิทัล ใช้ได้เฉพาะกับร้านค้าชุมชนและบริการที่ “อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร” ของผู้ลงทะเบียนเท่านั้น
ในเงื่อนไขนี้เอง ทำให้มีข้อห่วงใยตามมามากมาย โดยเฉพาะ ความงุนงง อยากหาคำตอบ จากคนไทยทั่วไป ว่าทำไม นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ต้องกำหนดรัศมีการใช้จ่ายไว้ที่ 4 กิโลเมตร จากที่อยู่ตามทะเบียนบ้านเท่านั้น เพราะน่าจะเป็นปัญหาอยู่มาก กับบุคคลที่มีที่พักอาศัย ไม่ตรงตามทะเบียนบ้านในปัจจุบัน
หรือเราอาจต้องเดินทางกลับไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่บ้านเกิดครั้งใหญ่เท่านั้น แต่คงจะเป็นเรื่องยากมากขึ้น หากในระยะ 4 กิโลเมตร บ้านพักตามทะเบียนบ้านของเรา ไม่มีร้านค้า และบริการ ที่เข้าร่วมกับระบบเลย หรือในละแวกดังกล่าว ไม่มีอินเทอร์เน็ต ที่เป็นหลักของระบบการใช้จ่าย ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ ที่จะทำให้เราสูญสิทธิไป โดยใช่เหตุหรือไม่?
ในเรื่องนี้ มีคำตอบบางส่วนออกมาจากพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ชัดเจนคลี่คลายซะทีเดียว ในแง่ พื้นที่ไร้สัญญาณอินเทอร์เน็ต ถูกขยายความว่า อาจใช้ได้ทั้งในรูปแบบคูปอง และ กระเป๋าเงินดิจิทัล ส่วนหากพื้นที่ในระยะ 4 กิโลเมตร ไม่มีร้านค้าและบริการเลย ก็สามารถขยายพื้นที่ได้
โดยนายเศรษฐา ทวีสิน เคยตอบข้อซักถามว่า ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน เราสามารถขยายพื้นที่ได้ ยกตัวอย่างอาจจะได้ถึง 7.5 กิโลเมตร หรือไกลกว่านั้น เพื่อให้การใช้จ่ายครอบคลุมพื้นที่นั้นๆ ได้จริง
เพื่อให้เม็ดเงินกระจายสู่ระดับชุมชน ต่างจังหวัดจริงๆ ไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในเมือง และห้างใหญ่ ไม่กีดขวางโอกาส สำหรับร้านค้า รายย่อยระดับ SMEs หรือ รายใหญ่ระดับนายทุน เพราะทุกขนาดธุรกิจ จะใช้นโยบายนี้กันอย่างเสมอภาค เท่าเทียม ไม่เอื้อโอกาสรายใดรายนึงเท่านั้น
ซึ่งจากคำตอบที่มีอันน้อยนิดข้างต้น ก็คงต้องติดตามกันต่อว่า ท้ายที่สุดความชัดเจน ในเรื่อง เงื่อนไขเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย จะมีรายละเอียดออกมาอย่างไร เพื่อให้การทุ่มงบประมาณ ที่ถูกคาดไว้ ว่าจะมากถึง 5 แสนล้านบาท ครั้งนี้ เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง และมีความเสมอภาคในแง่สิทธิที่คนไทยผู้เสียภาษีควรได้รับ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ...