นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 มีกำไร 8,082 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 19% มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 124,631 ล้านบาท ลดลง 18% ซึ่งเป็นยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลง “ผมยอมรับว่าปีนี้รายได้ของเอสซีจีจะลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ 10% และลดลงจากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 582,292 ล้านบาท หลังจากครึ่งแรกของปีมีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17% ตามยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจตามสถานการณ์ตลาดที่อ่อนตัว”
ดังนั้น บริษัทจึงได้ตัดสินใจปรับลดงบลงทุนปี 2566 ลง 10,000 ล้านบาท เหลือ 40,000 ล้านบาท จากเดิมวางไว้ 50,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่สู้ดี จึงต้องรัดเข็มขัด ต้องระวังให้มากขึ้น
นายรุ่งโรจน์ ประเมินภาพรวมธุรกิจช่วงครึ่งหลังของปีนี้ว่า ยังมีความท้าทายทั้งจากปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะโครงการลงทุนภาครัฐ ที่อาจล่าช้าออกไป หลังสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อ รวมถึงภาวะโลกร้อน ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม ส่งผลต่อยอดขายในไทยช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะทรงตัว สำหรับปัจจัยจากต่างประเทศ ยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง แต่ยังหวังว่าเศรษฐกิจเวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์จะเริ่มฟื้นตัว ดันยอดขายต่างประเทศครึ่งปีหลังดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก
ขณะที่ความคืบหน้าการนำธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เข้าไปกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น คาดว่าจะเข้าไปทำการซื้อขายได้ในไตรมาส 4 ของปี 2566.