นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ทางสมาคมฯร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index-RSI) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำไตรมาส 2 ของปีนี้พบว่า ลดลงมาที่ 47 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ มีความ “น่ากังวล” ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุดทุกองค์ประกอบครั้งแรกในรอบ 15 เดือน เหตุปัจจัยลบรุมเร้ารอบด้านทั้งความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล, ค่าครองชีพ-หนี้ครัวเรือนสูง, เศรษฐกิจชะลอตัว, มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเดิมหมดลง, ภาครัฐชะลอการเบิกจ่ายเพื่อรอรัฐบาลใหม่, ช่วงโลว์ซีซันของการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ การลดลงของดัชนีตามภูมิภาคต่างๆ บ่งบอกถึงธุรกิจยังคงไม่ฟื้นตัว แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในช่วงครึ่งปีแรกราว 12.4 ล้านคนก็ตาม หากจำแนกตามประเภทร้านค้า พบว่าความเชื่อมั่นในปัจจุบันปรับลดลงในทุกประเภทร้านค้าโดยร้านค้าส่ง, ไฮเปอร์มาร์เกตยังคงไม่ฟื้นตัว ยกเว้นซุปเปอร์มาร์เกตและร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นรวมทั้งสินค้าที่มีการจัดโปรโมชัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิต
สำหรับภาพรวมค้าปลีกครึ่งปีแรกที่ผ่านมายังไม่สดใสเท่าที่ควร เนื่องจากภาคธุรกิจยังคงต้องเผชิญกับต้นทุนสูงจากทั้งค่าพลังงาน ค่าสาธารณูปโภค และอื่นๆ ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแอ ทางสมาคม จึงขอนำเสนอข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลชุดใหม่ 3 ประเด็นต่างๆ คือ
1.สนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็วและราบรื่นเพื่อให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า
2.จัดสรรงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นไปแต่ละกลุ่มเป้าหมายและไม่ซับซ้อน โดยเพิ่มกำลังซื้อให้กลุ่มฐานรากและเพิ่มการใช้จ่ายในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง รวมทั้งลดขั้นตอนให้สามารถเข้าถึงได้สะดวก
3.ส่งเสริมภาคท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติและคนไทยท่องเที่ยวเมืองไทย เช่น การขยายเวลา Visa on Arrival ให้ต่างชาติพำนักในไทยได้นานขึ้น, การเพิ่มความถี่เที่ยวบินมาประเทศไทย รวมถึงมุ่งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยเมื่อมาเที่ยวเมืองไทย เป็นต้น
“สมาคมผู้ค้าปลีกไทยขอส่งสัญญาณถึงรัฐบาลใหม่ชุดใหม่ที่มีความตั้งใจจะเข้ามาบริหารประเทศ ได้ออกนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจที่จะมาพลิกฟื้นความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการและกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาคึกคัก โดยสมาคมมีความพร้อมและมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างมีเอกภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเข้มแข็ง”.