ปฏิวัติอุตสาหกรรม

สลัด เรื่องการเมือง ที่วุ่นวายเป็นฝอยขัดหม้อออกจากสมอง เสพข่าวการเมืองยิ่งมากก็ยิ่งสับสน เลือกตั้งมาจะครบเดือนยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นรัฐบาลเป็นนายกฯ ลุ้นกันจนเฮือกสุดท้าย กว่าจะถึงเส้นตายเดือน ก.ค.

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริหารโดย วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะที่เป็นองค์กรทำหน้าที่ผลักดันภาคอุตสาหกรรมของไทย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ปัจจัยในการที่จะทำให้อุตสาหกรรมของไทย มีความยั่งยืน ได้อย่างไร หลังมีข่าวถึงผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไปจนถึงการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น

“เราจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและเพิ่มสมรรถนะของตัวเองให้เข้มแข็ง เพื่อก้าวให้ทันกับกระแสความเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมของโลกได้อย่างทันท่วงที นำภาคีเครือข่ายและผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆของไทยให้ก้าวเข้าสู่สากลอย่างยั่งยืน มีการปรับแนวคิดและวิธีการทำงาน ปรับโฉมการให้บริการ รวมถึงภาพลักษณ์องค์กร เพื่อให้มีความทันสมัยและเป็นสากลยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง การนิคมอุตสาหกรรมหรือ กนอ.ไปจับมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการศึกษาปรับภาพลักษณ์ นำไปสู่การออกแบบตราสัญลักษณ์รองเพื่อใช้ในการสื่อสาร และงานประชาสัมพันธ์ของ กนอ.ในระดับชาติและนานาชาติ”

เป็นความเปลี่ยนแปลง ในการปรับแบรนด์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งในส่วนของ กนอ.เอง แม้จะเป็นองค์กรภาครัฐ แต่ก็ให้ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะสร้างแบรนด์ให้เป็นมาตรฐานสากล สื่อสารให้รู้ว่า กนอ.เป็นองค์กรที่ทันสมัย

อย่างไรก็ตาม กนอ.ยังให้ความสำคัญในการสนับสนุน เศรษฐกิจอุตสาหกรรม การรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและการดูแลชุมชนอย่างเข้าถึง เข้าใจ และการมีส่วนร่วม แม้แต่ ตราสัญลักษณ์รอง ของ กนอ.ก็ได้ผ่านการโหวตคัดเลือกจากบุคลากรของ กนอ. และผู้พัฒนาอุตสาหกรรม รวมแล้วกว่า 400 คน ตราสัญลักษณ์เดิมที่เป็นรูปฟันเฟือง 6 แฉก และสีม่วงก็ยังคงเป็นตราสัญลักษณ์หลัก แต่เพื่อแสดงถึงความทันสมัย ตราสัญลักษณ์รอง มีการใช้เครื่องหมาย Infinity 3 ตัวมาร้อยเรียงกัน เป็นการแสดงถึงภารกิจหลักใน 3 มิติ ได้แก่ การสร้างความเจริญเติบโตทางอุตสาหกรรม การดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่จะต้องไปด้วยกัน

จากข้อมูลแนวโน้มอุตสาหกรรมไทยในระยะ 2-3 ปีนี้ จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆเฉลี่ยที่ร้อยละ 4.4 ต่อปี หลังจากที่มีความถดถอยในช่วงที่มีการระบาดของโควิดและวิกฤติพลังงาน ส่งผลกระทบหนัก สหรัฐฯคาดจะขยายตัวได้ร้อยละ 2.8 ต่อปียูโรโซน คาดจะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.5 ต่อปี ญี่ปุ่นคาดจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 ต่อปี จีนคาดจะขยายตัวที่ร้อยละ 6.6 ต่อปี ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกจึงมีผลต่อทิศทางอุตสาหกรรม ที่จะต้องเข้าสู่ภาคบริการมากขึ้น การพัฒนาของเทคโนโลยีจะผลักดันให้ Modern Services เป็นที่ต้องการมากขึ้น เนื่องจากเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้า รวมทั้งการใช้มาตรการกีดกันการค้าที่อาจเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรม

เข้าสู่ยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทันสมัย.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th