สร้างสมดุลขออยู่เหนือ “ความขัดแย้ง” “บิ๊กตู่” ยันการเงิน-คลังไทยแกร่ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้ เป็นการประชุม ครม.ตามปกติ โดยที่ประชุมมีการพิจารณาวาระเพื่อทราบหลายเรื่อง อยู่ในอำนาจรัฐบาลรักษาการ ซึ่งเศรษฐกิจระดับภูมิภาค และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และสถานะการเงินการคลังของเราก็แข็งแกร่ง หลายประเทศก็ให้ความสนใจประเทศไทยในการเข้ามาลงทุน เพราะถือเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภาคอาเซียน เราเดินหน้านโยบายมาโดยตลอด นโยบายของตน คือ การสร้างความสมดุลให้ได้ ไม่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของใครทั้งสิ้น โดยมีความร่วมมือการค้าการลงทุนในเชิงสร้างสรรค์ ให้ได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ความเชื่อมั่น ซึ่งกันและกันซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมถึงข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจไทย ว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางการฟื้นตัวจากภาคบริการและการท่องเที่ยว เนื่องจากมีปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตัวชี้วัดเศรษฐกิจหลายตัวปรับดีขึ้น นอกจากนี้ ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ จะพบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับลดลง ขณะที่ตลาดแรงงานก็ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเรื่องแผนการขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคี ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีการติดตามความคืบหน้าด้านต่างๆหลังจากฟื้นฟูความสัมพันธ์มาระยะหนึ่งแล้ว โดยภาพรวมมูลค่าการลงทุนระหว่างไทย-ซาอุฯ เพิ่มขึ้น 37.64% ด้านการท่องเที่ยวในปี 65 มีนักท่องเที่ยวซาอุฯ เดินทางเข้าไทย 9.6 หมื่นคน สร้างรายได้กว่า 8,000 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 66 นักท่องเที่ยวจากซาอุฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 แสนคน สร้างรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มเที่ยวบินจาก 9 เที่ยวต่อสัปดาห์ เป็น 42 เที่ยวต่อสัปดาห์

“นายกฯได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน ติดตามโครงการต่างๆ ให้มีการพัฒนาและการดำเนินการคืบหน้า รวมทั้งได้ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง เพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงระหว่างอ่าวไทยกับอันดามัน โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ไปศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างต่อเนื่อง”.