ส.อ.ท.แนะรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ เพื่อเป็นของขวัญกระตุ้นใช้จ่ายโค้งสุดท้ายปีนี้ หนุนรีวิวคนละครึ่งเฟส 6 กลับใช้วงเงินเดิมที่ 3,000 บาท เพิ่มจำนวนสิทธิ์เที่ยวด้วยกัน 2 ล้านสิทธิ์ ลดหย่อนภาษีช้อปดีมีคืน 3 หมื่นบาท ฯลฯ พร้อมทบทวนสำรองไฟหวังกดค่าไฟลดลง ด้านสภาธุรกิจตลาดทุนคาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,685 จุด
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมประจำเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 93.1 โดยปรับขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากมีการยกเลิกโควิด-19 จากโรคติดต่อร้ายแรง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ประกอบกับการส่งออกที่เติบโตและการท่องเที่ยวที่ต่างชาติทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยที่อาจฉุดรั้งเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออกระยะต่อไป ส.อ.ท.จึงมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการใหม่ๆเป็นของขวัญและช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายท้ายปี 2565 อาทิ โครงการช้อปดีมีคืน ลดหย่อนภาษี 30,000 บาท โครงการคนละครึ่งเฟส 6 วงเงินขั้นต่ำ 3,000 บาท รวมทั้งเพิ่มจำนวนสิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็น 2 ล้านสิทธิ์ ฯลฯ
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลออกมาถือว่ามีประสิทธิภาพในตอนแรกๆ ที่ทำทั้งช้อปดีมีคืน คนละครึ่ง แต่ช่วงหลังมีการลดจำนวนสิทธิ์ ลดวงเงิน เริ่มไม่สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายได้จึงอยากให้รัฐรีวิวกลับไปแบบเดิมเพื่ออัดเงินให้หมุนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น”
นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐบาล พิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนม.ค.-เม.ย.2566 เพื่อลดรายจ่ายทุกภาคส่วน และรักษาขีดความสามารถการแข่งขันของไทย โดยให้ทบทวนปริมาณสำรองไฟฟ้าที่ขณะนี้สูงถึง 51% เพราะภาระส่วนนี้ ถูกนำมาคำนวณใน Ft โดยขอให้มาหารือว่าอัตราที่เหมาะสมควรอยู่ที่ใดแน่ ซึ่งค่าไฟเฉลี่ยรวมของไทย 4.27 บาทต่อหน่วย สูงสุดในอาเซียนแล้วและข้อเท็จจริง เอฟทียังคงถูกแบกรับภาระไว้ที่จะต้องขยับไปอีก รวมไปถึงให้รัฐเร่งหามาตรการดูแลและป้องกัน ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งทั่วประเทศ เพื่อรับผลกระทบในระยะต่อไปอย่างทันท่วงที
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 98.8 ปรับตัวลดลง จาก 101.8 ในเดือน ก.ย. เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ตลอดจนความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาคการส่งออกของไทยในระยะต่อไปได้
นายกฤษณ์ อิ่มแสง เลขาธิการ ส.อ.ท. กล่าวว่า ทิศทางราคาพลังงาน จากนี้ไปจะยังคงอยู่ระดับสูง แม้ว่าระยะนี้จะผ่อนคลายลงมาบ้างแต่ในแง่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังคงอยู่ที่จะมีผลต่อจิตวิทยาและยังต้องจับทิศทางหลังการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ รวมถึงการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมจึงต้องเตรียมพร้อม ขณะนี้สมาชิกของ ส.อ.ท.ก็ได้ปรับสู่โหมดการประหยัดอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่รัฐบาล อาจจะใช้มาตรการบังคับประหยัดหากราคาก๊าซธรรมชาติเหลว สูงเกิน 50 เหรียญต่อล้านบีทียู ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ก็เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นนั้นเพราะขณะนี้ราคาตลาดโลกเฉลี่ยมาอยู่ระดับ 25 เหรียญฯต่อล้านบีทียู ซึ่งเริ่มลดต่ำลงมากกว่าครึ่งแล้ว จากอดีตที่เคยสูงไปกว่า 40 เหรียญฯต่อล้านบีทียู
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน และอัปเดตสถานการณ์การลงทุนและเศรษฐกิจ ว่า จากการประเมินดัชนีหุ้น ไทยปลายปีนี้กับสมาคมนักวิเคราะห์ คาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 1,685 จุด เพราะระยะสั้นจะยังเห็นเม็ดเงินฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ผู้จัดการกองทุนต่างๆ กำลังปรับพอร์ตการลงทุนและมีการโยกเม็ดเงินเข้ามาในตลาดที่มีทิศทางที่ดีและมีเสถียรภาพ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ดีต่อเนื่อง ช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยช่วงท้ายปี รวมถึงดุลบัญชี เดินสะพัดของไทยที่เริ่มเป็นบวก ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทเริ่มกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง