นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงทิศทางภาคอุตสาหกรรมไทย ในปีนี้ว่าต้องยอมรับว่าสภาพของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ ยืนอยู่บนความเสี่ยงจากสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอนและผันผวนสูงจากหลายๆปัจจัย อาทิ ราคาพลังงานโลกที่ผันผวนสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ปัญหาการค้าระหว่างประเทศที่หลายๆประเทศ ยังมีความคลุมเครือและซับซ้อน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมของไทยก็ต้องเร่งปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยี (ดิจิทัลดิสรัปชั่น) ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วรุนแรง ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของกำลังซื้อในประเทศก็อยู่ในภาวะที่ถดถอย เพราะประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างประชากร หลังจากวัยทำงานน้อยลง เด็กเกิดใหม่ลดลง 300,000 คน แต่กลับมีคนสูงวัยในระบบมากขึ้น นั่นกลายเป็นกับดักสำคัญ ที่อาจทำให้ประเทศไทยไม่สามารถหลุดพ้นจากคำว่าประเทศกำลังพัฒนาได้ จึงส่งผลกระทบมายังการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สะท้อนภาพการเติบโตต่ำที่ไม่ถึง 3% หลายปีติดต่อกัน
ที่สำคัญนับจากนี้ไป สิ่งที่ท้าทายสูงสุดในขณะนี้ คือภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับพายุเศรษฐกิจ จากผลพวงของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อไทย ที่เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 7.86% สูงสุดในรอบ 14 ปี, การขาดแคลนวัตถุดิบ เช่น ชิปในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ราคาวัตถุดิบ อาหารสัตว์ ปุ๋ย, ต้นทุนค่าพลังงานหลังจากค่าไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 17%, ราคาน้ำมันทำสถิติสูงสุดในรอบ 8 ปี, ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้น 5-8%เป็นต้น “ผมมองว่า แม้เอกชนไทยมีศักยภาพพร้อมเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ แต่จำเป็นต้องอาศัยการผลักดันผ่านนโยบายของรัฐบาลด้วย โดยความคาดหวังของเอกชน จากสัญญาณเลือกตั้งใหม่ในปีหน้าคือความต่อเนื่องทางนโยบาย”.