“ไทยเบฟ” มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อให้บรรลุ เป้าหมาย PASSION 2025 เพื่อครองความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารครบวงจรที่มั่นคงยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน สู่การเป็นผู้นำระดับโลก ไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจที่ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมตามพันธกิจหลัก “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต”
บริษัท ไทยเบฟฯ ประกาศกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าหมายบรรลุการปล่อยก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2583 โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย.นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงาน Sustainability Expo 2022 มหกรรมด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า เราเชื่อมั่นว่าความสำเร็จของการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้ PASSION 2025 นั้น จะเกิดจากการใส่ใจ และให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิต รวมถึงการพัฒนาชุมชนรอบพื้นที่ปฏิบัติงาน การกำกับดูแลองค์กรและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเชื่อมโยงทุกด้านของการพัฒนาสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการที่ดีภายใต้หลักธรรมาภิบาล เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ทั้งในฐานะผู้ประกอบการ องค์กรที่ดีของสังคม และผู้นำธุรกิจในภูมิภาค
ทั้งนี้ กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของไทยเบฟเน้นดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจากการดำเนินงานของกลุ่ม และจากพลังงานที่กลุ่มซื้อมาให้เป็นศูนย์ภายในปี 2583 คืนน้ำสู่ธรรมชาติและชุมชนให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ของที่ใช้ไปภายในปี 2583 และส่งมอบผลกระทบสุทธิเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ 2.ด้านสังคม เพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงานให้ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 90 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2573, ขณะที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ต้องมาจากเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายในปี 2573, สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าไปสู่สังคมในมิติของการศึกษา สาธารณสุข กีฬา ศิลปะและวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชน และสังคม 3.การบริหารจัดการภายใต้หลักธรรมาภิบาล ด้วยการวางมาตรฐานด้านการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ ให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มไทยเบฟ รวมถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของคู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์ต้องมีการจัดทำและร่วมมือใช้จรรยาบรรณสำหรับคู่ค้าของตนเอง และผสานความร่วมมือสู่ผลกระทบเชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล
สำหรับในปี 2564 ไทยเบฟได้ดำเนินการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนผ่านหลายโครงการแล้ว อาทิ ติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของโรงงานในไทย 5 แห่ง ลดการใช้น้ำลง 6.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับพื้นที่ที่มีการดึงน้ำจากแหล่งน้ำมาใช้มาก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของกลุ่มและจากพลังงานที่กลุ่มซื้อมาลงได้ 9.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน ฯลฯ และอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจ ของไทยเบฟคือการที่บริษัทฯได้รับคัดเลือกเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มภายใต้ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) 4 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2564 ไทยเบฟได้คะแนน 90 จาก 100 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่เข้าร่วมรับการประเมิน โดยได้คะแนนสูงสุดในด้านสังคม การกำกับดูแลและเศรษฐกิจ และได้คะแนนสูง เป็นอันดับสองในด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงยังได้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืน DJSI World เป็นปีที่ 5 และ DJSI Emerging Markets เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน และยังเป็นแกนหลักของภาคเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการผสานความร่วมมือทุกภาคส่วน ภายใต้โครงการประชารัฐรักสามัคคี สร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่น สร้างอาชีพและรายได้ มุ่งเน้นการทำงานใน 3 กลุ่มงาน ได้แก่ เกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยวโดยชุมชน ปัจจุบันสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้วกว่า 1,690 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทฯได้จัดงาน Sustainability Expo 2022 (SX 2022) มหกรรมด้านการพัฒนา ที่ยั่งยืน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ระหว่างวันที่ 26 ก.ย.-2 ต.ค. 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับความร่วมมือจาก 5 องค์กรชั้นนำด้านความยั่งยืนของไทย และเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (TSCN) ที่มาร่วมแบ่งปันแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนให้ผู้ร่วมงานได้รับประสบ การณ์ตรงเต็มรูปแบบภายใต้แนวคิด “good balance, better world” ความสมดุลที่ดี เพื่อโลกที่ดีกว่า ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน และขยายเครือข่ายสังคมของการมีส่วนร่วม อันจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ใช้ได้ผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง นอกจากจะเป็นการสร้างแพลต ฟอร์มด้านความยั่งยืน เป็นการรวมตัวของเครือข่ายครั้งสำคัญแล้ว ยังช่วยสร้างการรับรู้ในหมู่คนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป ถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติให้ได้ผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง