งานไทยแลนด์โฟกัสกระหึ่ม นักลงทุนสถาบันทั่วโลกคึกคักร่วมฟังข้อมูลศักยภาพเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ท่ามกลางการเมืองไทยร้อนฉ่า “อาคม” ไม่ห่วงเศรษฐกิจโลกถดถอย ขณะที่ผู้ว่าการ ธปท.ยันปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯระบุนักลงทุนที่มาร่วมงานไม่กังวลเสถียรภาพการเมืองไทย ยังสนใจเข้ามาลงทุนในไทย เพราะรัฐบาลส่วนใหญ่ก็ยังสานต่อนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งาน Thailand Focus 2022 : The New Hope ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 16 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระหว่างวันที่ 24-26 ส.ค.65 ภายใต้แนวคิด “THE NEW HOPE” โดยนำเสนอศักยภาพและความแข็งแกร่งของตลาดทุนและเศรษฐกิจไทยที่สามารถยืนหยัดและฟื้นตัวจากปัจจัยการแพร่ระบาดโควิด-19 และกลับมาเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนทั่วโลก โดยปีนี้มีการให้ข้อมูลถึงทิศทางนโยบายและศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนสถาบันจากทั่วโลกที่เข้าร่วมงาน โดยปีนี้ได้การตอบรับจากผู้จัดการกองทุนทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมงานมากถึง 161 ราย จาก 76 สถาบันทั่วโลก ขณะที่มีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมให้ข้อมูลกับนักลงทุนมากถึง 124 บริษัท โดยเป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET50 ถึง 47 บริษัท ที่เหลือเป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่เข้ามาให้ข้อมูลกับนักลงทุนในจำนวนที่มากขึ้น
ไม่ห่วงเศรษฐกิจโลกถดถอย
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ซึ่งเป็นประธานเปิดงาน “Thailand Focus 2022 : THE NEW HOPE” ได้ปาฐกถาพิเศษสร้างความเชื่อมั่นถึงความพร้อมของเศรษฐกิจ หัวข้อ “Thailand's Economic Reopening and Enhancing Competitive Advantage” ว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต้องพยายามหาทางดูแลไม่ให้เกิดขึ้น เชื่อว่าภาครัฐของประเทศเหล่านั้นจะรองรับปัญหาเอาไว้ได้ จึงไม่ได้น่าห่วงมากนัก และแม้ว่าโลกจะมีภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่สิ่งที่เราควรมอง คือ การสร้างความร่วมมือในภูมิภาค ซึ่งเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ยังเดินหน้าขับเคลื่อนต่อไปได้ ขณะที่ไทยมีจุดแข็ง คือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการลงทุนด้านต่างๆ ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาครัฐยังมีมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยวางยุทธศาสตร์ให้การลงทุนในพื้นที่อีอีซีเป็นการลงทุนที่รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
ปรับขึ้นดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจขยายตัวได้ 3% และปี 66 จะขยายตัวที่ 4% แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ เพราะมีหลายปัจจัยที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวชัดเจน หลังการเปิดประเทศ จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ โดย 7 เดือนแรก นักท่องเที่ยวเข้าไทย 3.2 ล้านคน จากที่คาดทั้งปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านคน ขณะที่การบริโภคในประเทศกลับมาดีขึ้น
ส่วนความกังวลเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย มองว่าไม่น่ามีผลกระทบมาก เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศ จากรายได้ประชาชนที่ดีขึ้น และไม่น่าทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติชะงัก ที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจชะลอก็ยังเห็นการมาท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง เพราะการท่องเที่ยวไทยค่าใช้จ่ายไม่สูง ยกเว้นจะมีปัจจัยอื่นเข้ามา เช่น การกลายพันธุ์ของโควิดหรือโรคใหม่ๆ รวมทั้งความตึงเครียดหรือความขัดแย้งภายในภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม “ปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่สำคัญคือการท่องเที่ยวที่ภาคท่องเที่ยวคิดเป็น 12% ของจีดีพี ส่วนความเสี่ยงที่จะทำให้การท่องเที่ยวสะดุดหรือไม่ฟื้นตัวจะไม่ใช่จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่เป็นเรื่องการกลายพันธุ์ของโควิดหรือโรคระบาดใหม่ที่ทำให้คนไม่เดินทาง”
สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินของไทย เศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัว แต่ยังฟื้นไม่ทั่วถึง ยังมีกลุ่มเปราะบางที่ต้องดูแลทำให้การดำเนินนโยบายดอกเบี้ยยังคงปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะปัญหาเงินเฟ้อสูงที่ผ่านมามาจากฝั่งอุปทาน ซึ่งโอกาสที่เงินเฟ้อจะสูงจากฝั่งดีมานด์อาจเพิ่มบ้างแต่ไม่มาก ส่วนเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คงส่งผ่านมาที่เงินเฟ้อบ้างแต่คงไม่สูงมาก
ต่างชาติมั่นใจซื้อหุ้นต่อเนื่อง
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดงาน Thailand Focus 2022 : The New Hope จะช่วยเพิ่มจำนวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยนักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย จากศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีอัพไซด์เติบโตได้อีกมาก ขณะที่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนได้ปรับตัวและต่อยอดการเติบโต โดยขยายการลงทุนในและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยนับจากต้นปีต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยมากถึง 180,000 ล้านบาท ขณะที่เฉพาะเดือน ก.ค.65 เข้ามาซื้อสุทธิ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือกว่า 35,000 ล้านบาท สะท้อนความมั่นใจในอัปไซด์ของประเทศไทยในอนาคตที่มีอยู่อีกมาก จากมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ในงานนี้ รมว.คลัง ได้ให้ความมั่นใจแก่ผู้ลงทุนถึงยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศที่สนับสนุนการฟื้นตัวและมุ่งเพิ่มขีดความสามารถ โดยให้ข้อมูลถึงการบริโภคของภาคเอกชนและการส่งออกว่ายังอยู่ในทิศทางที่ดีแม้ว่าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและรายได้ในภาคการเกษตร ขณะที่ภาครัฐได้มีโครงการที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนเป็นระยะๆ พื้นฐานของประเทศก็ยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังให้ความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยพร้อมที่จะเติบโตทั้งในระยะกลางและระยะยาว โดยภาครัฐมีโครงการที่ช่วยกระตุ้นและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ยังให้ความเชื่อมั่นด้านการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคตที่จะปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
ไม่กังวลเสถียรภาพการเมืองไทย
นายภากรยังกล่าวถึงกรณีที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์รับคำร้องของฝ่ายค้านไว้พิจารณา และมีมติ 5 ต่อ 4 เสียงมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ว่า กรณีดังกล่าวไม่ได้กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการเมืองพรรคไหนเข้ามาบริหารประเทศ รัฐบาลส่วนใหญ่ก็ยังสานต่อนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง ขณะที่ภาคเอกชนมีการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ
ดังนั้น สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้กระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย เพราะเมื่อนโยบายของรัฐบาลไม่เปลี่ยน ก็ไม่ได้มีผลต่อการมาลงทุน ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กว่า 800 แห่งก็ยังมีรายได้ที่เติบโตขึ้น โดยครึ่งแรกปี 65 ยังเติบโตได้ที่ 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนกำไรยังเติบโตได้ 27% หากรวมกลุ่มพลังงานที่ได้ปัจจัยหนุนจากราคาพลังงานในตลาดโลกที่สูงขึ้น แต่ถ้าตัดกลุ่มพลังงานออกกำไรอาจไม่โตมาก เพราะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า นักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่มาร่วมงานในครั้งนี้ให้ความสนใจกับนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมหลักหรืออุตสาหกรรมใหม่ของไทย ที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวมและทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเติบโตได้เป็นสำคัญ.