นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกฯได้ย้ำว่าเดือน ส.ค.นี้จะยังไม่มีการขึ้นค่าไฟ ต้องขอทำความเข้าใจกับชาวบ้านเพราะชาวบ้านจะคิดว่าจะขึ้นตั้งแต่เดือนนี้เลย ส่วนจะขึ้นเท่าไหร่ ขึ้นหรือไม่ขึ้น ทาง กกพ.จะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งนายกฯได้ฝากให้ ครม.ช่วยกันพิจารณาหามาตรการใหม่ๆ มาเยียวยาและลดภาระให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อยด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมจากกระทรวงพลังงาน ว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้แจ้งกับกระทรวงพลังงานว่า กกพ.ได้เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.ไปแล้วเมื่อวันที่ 27 ก.ค. จากนั้นได้แจ้ง 3 การไฟฟ้าตามขั้นตอนเพื่อให้มีผลก่อนภายใน 1 เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมาตามระเบียบที่กำหนดไว้เพื่อให้ภาคธุรกิจได้มีเวลาปรับตัว ส่วนความเป็นไปได้ในการชะลอการขึ้นค่าเอฟที ซึ่งกระทรวงพลังงานสอบถามมานั้น กกพ.ระบุว่ารัฐบาลต้องมีงบประมาณมาดูแล เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ช่วยแบกแทนประชาชนจากค่าไฟที่ผ่านมาแล้ว 110,000 ล้านบาท หากรัฐบาลมีงบที่จะเข้ามาอุดหนุนจะสามารถดำเนินการได้โดยบอร์ด กกพ.จะหารือเรื่องนี้ในวันที่ 10 ส.ค.นี้เพื่อที่จะหาข้อสรุป
ทั้งนี้ ในส่วนการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง ซึ่งคาดว่าจะใช้เงิน 7,000-9,500 ล้านบาท โดยจะใช้งบประมาณส่วนกลางของรัฐเข้ามาดำเนินการ ซึ่ง กกพ.จะไปจัดทำรายละเอียด โดยประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าน้อยที่สุด จะได้รับการช่วยเหลือใน 2 กรอบ และจะเร่งสรุปในสัปดาห์หน้า ได้แก่ 1.การช่วยเหลือเหมือนงวดปัจจุบัน คือหากบ้านใดใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ค่าไฟฟ้าเอฟทีจะไม่ปรับขึ้น แต่กำลังดูรายละเอียดว่าจะไม่ปรับขึ้นจากงวดใด ระหว่างงวด (ม.ค.-เม.ย.) ปี 2565 ที่ค่าเอฟทีอยู่ที่ 1.39 สต.ต่อหน่วย หรืองวดสอง (พ.ค.-ส.ค.) ปีนี้ที่อัตราเอฟทีอยู่ที่ 24.77 สต.ต่อหน่วย ซึ่งหากเทียบกับงวดแรกต้องใช้วงเงิน 6,600 ล้านบาท แต่หากเป็นงวดที่สองจะใช้เงินช่วยเหลือ 4,900 ล้านบาท แต่ค่าเอฟทีของคนกลุ่มนี้ขึ้นประมาณ 23.38 สต.ต่อหน่วย และ 2.การขยายช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าในหน่วยที่ 301-500 หน่วยต่อเดือน ส่วนนี้จะเปรียบเทียบเฉพาะงวดที่สอง ใช้เงินช่วยเหลือเพิ่มอีก 2,900 ล้านบาท.