นายพลกฤต กล่ำเครือ นายกสมาคมผู้ประกอบการและช่างพลังงานแสงอาทิตย์ เปิดเผยว่า ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ที่ปรับขึ้นต่อเนื่องปีนี้ ทำให้ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนจ่าย รวมเฉลี่ยมีโอกาสแตะ 5 บาทต่อหน่วยในงวดสุดท้ายปีนี้ (ก.ย.-ธ.ค.) และอาจทรงตัวสูงไปถึงปี 66 ทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปหันมาติดตั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) มากขึ้น ประกอบโซลาร์ภาคประชาชนปีนี้ รัฐเปิดรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากบ้านที่อยู่อาศัยปริมาณรวม 10 เมกะวัตต์ อัตรา 2.20 บาทต่อหน่วย ทำให้เกิดแรงจูงใจเพิ่มขึ้น
“การติดตั้งโซลาร์รูปท็อป ของผู้ประกอบการที่ผลิตเองใช้เอง (IPS) ยังโตต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่อยู่อาศัย ที่โครงการหมู่บ้านจัดสรรหันมาติดตั้งให้พร้อมตัวบ้าน ทำให้ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี 65 การติดตั้งโตเฉลี่ย 10% จากปี 64 แต่อุปสรรคตอนนี้คือต้นทุนสูงขึ้น จากเงินบาทอ่อนค่าทำให้การนำเข้าแผงโซลาร์จากจีนมีต้นทุนเพิ่ม แต่เมื่อคำนวณแล้วก็ยังคุ้มทุนเมื่อเทียบกับค่าไฟที่แพงขึ้น”
นายนิเวช บุญวิชัย อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการและช่างพลังงานแสงอาทิตย์ กล่าวว่า ราคาแผงโซลาร์ขยับขึ้นจากต้นปี 20 เซนต์ต่อวัตต์มาสู่ 27-30 เซนต์ต่อวัตต์ แม้ต้นทุนสูงขึ้นแต่ค่าไฟที่ผลิตใช้เองเฉลี่ยไม่เกิน 3 บาทต่อหน่วย หากกำลังติดตั้ง 3-5 กิโลวัตต์ ความคุ้มทุนอยู่ที่ 5-6 ปี ขณะนี้จ่ายค่าไฟเฉลี่ย 4 บาทต่อหน่วยและจะสูงขึ้นอีก ค่าไฟแพงก็ยิ่งคุ้มค่า.