นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสาร สนามบินสุวรรณภูมิ ว่า ที่ประชุมรับทราบถึงความคืบหน้าการปรับแบบอาคารผู้โดยสารส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก วงเงิน 7,830 ล้านบาท ที่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ต้องปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การบินในปัจจุบัน ที่จะแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. ก่อนนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เดือน ม.ค.-มี.ค.2566 ที่คาดว่าจะจัดหาผู้รับจ้างได้ในเดือน เม.ย.66-ก.ค.ปีหน้า ก่อสร้างแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.2568 รองรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคนต่อปี และทำให้สนามบินพร้อมรองรับผู้โดยสารที่จะกลับมาในระดับ 65 ล้านคนต่อปี ในปี 2568
“ที่ประชุมยังได้มอบให้ ทอท.ไปตรวจสอบข้อสัญญาและเงื่อนไขการร่วมลงทุนโครงการสนามบินอู่ตะเภา ให้ชัดเจนว่า การพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ของ ทอท. มีลักษณะส่งผลกระทบต่อการประกอบการหรือการดำเนินโครงการฯและวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการสนามบินอู่ตะเภาอันเป็นการกระทำที่ผิดต่อสัญญาร่วมลงทุน ตามข้อใดหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทและฟ้องร้องต่อรัฐได้ และให้กระทรวงมีหนังสือแจ้งยืนยันผลการพิจารณาไปให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ทราบด้วย”
ทั้งนี้ ทอท.ได้รายงานในที่ประชุม ถึงกรณีที่ให้มีการศึกษาความจำเป็นของการขยายขีดความสามารถสนามบินสุวรรณภูมิ และได้ให้ ทอท.ไปว่าจ้างองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือไอเคโอ เพื่อศึกษาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสาร ซึ่ง ทอท. รายงานว่า กำลังหารือร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาร่างข้อตกลง สำหรับการจ้าง ไอเคโอเพื่อศึกษาและให้ได้ข้อสรุปแนวทางการดำเนินงานตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ก่อนลงนามในสัญญาจ้าง โดยคาดว่าสำนักงานอัยการสูงสุดจะพิจารณาร่างข้อตกลงแล้ว.