ดึงเศรษฐีซาอุฟื้นท่องเที่ยว เอกชนเร่งรัฐดันโควิดเป็นโรคประจำถิ่น

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ดึงเศรษฐีซาอุฟื้นท่องเที่ยว เอกชนเร่งรัฐดันโควิดเป็นโรคประจำถิ่น

Date Time: 2 มิ.ย. 2565 05:50 น.

Summary

  • กกร.วอนรัฐเร่งให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น ย้ำเศรษฐกิจไทยยังเจอสารพัดปัจจัยเสี่ยงคงจีดีพีโตตามกรอบเดิมที่ตั้งไว้เหตุท่องเที่ยวเริ่มกลับมา แนะดึงนักเที่ยวซาอุฯมาด่วนขณะที่ประชาชนยังสับสนพีดีพีเอ

Latest

ทอท. ลงทุนเต็มพิกัด 10 ปี 2 แสนล้านบาท เที่ยวบินอินเตอร์ฟื้นตัวเกิน 100%

กกร.วอนรัฐเร่งให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น ย้ำเศรษฐกิจไทยยังเจอสารพัดปัจจัยเสี่ยงคงจีดีพีโตตามกรอบเดิมที่ตั้งไว้เหตุท่องเที่ยวเริ่มกลับมา แนะดึงนักเที่ยวซาอุฯมาด่วนขณะที่ประชาชนยังสับสนพีดีพีเอ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน ประกอบด้วย หอการค้าไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ประจำเดือน มิ.ย.ว่า ภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลเร่งประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นให้เร็วที่สุดจากเดิมที่รัฐบาล จะประกาศวันที่ 1 ก.ค.นี้ เนื่องจากเป็นผลทางจิตวิทยา หากประกาศเร็วที่สุด ประชาชนจะกล้าออกจากบ้านมาจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ระดับกลางและระดับสูงอีกจำนวนมากที่ยังกล้าๆกลัวๆ ไม่กล้าออกจากบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อจับจ่ายใช้สอยได้อย่างมาก รวมทั้งการรับมือโรคโควิด-19 ของไทยทำได้ดี และความรุนแรงโรคไม่ค่อยมี เหมือนเป็นโรคไข้หวัดทั่วไปที่ใช้เวลารักษาไม่นาน

สำหรับเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง กกร.มองว่า ยังต้องเผชิญกับความ เสี่ยงรอบด้าน ทั้งจากปัญหาความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อ ราคาพลังงานที่ยังปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นทั่วโลก แต่ กกร.ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ว่าจะขยายตัวในกรอบ 2.5-4% การส่งออกขยายตัว 3-5% อัตราเงินเฟ้อ ขยายตัว 3.5-5% เนื่องจากการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยยังขยายตัว ซึ่งเป็นแรงส่งเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะฟื้นตัว หลังจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 6-8 ล้านคน”

ขณะเดียวกัน กกร.อยากให้รัฐบาลดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง เช่น ซาอุดีอาระเบีย ที่มีรายได้สูงจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ประเมินว่ามีค่าใช้จ่ายต่อหัว 100,000 บาทต่อทริปต่อคน จากนักท่องเที่ยวปกติมีค่าใช้จ่าย 50,000 บาทต่อทริปต่อคน คาดว่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยถึง 10 ล้านคนก็ได้ ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยก็มีสัญญาณที่ดี เริ่มฟื้นตัวได้แล้ว 80% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 70% ส่วนหนึ่งมาจากการขยายสิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน

“ราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับขึ้น 33 บาทต่อลิตร ยังอยู่ในระดับที่รับได้ เพราะที่หารือกันไว้จะต้องไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร หากเทียบเคียงกับประเทศในกลุ่มอาเซียนเราก็ยังดีกว่า และต้องเข้าใจทุกฝ่าย อย่างฝ่ายรัฐบาลก็พยายามหามาตรการต่างๆมาช่วยเหลือ ที่สำคัญที่สุดเราต้อง ช่วยกันประหยัดให้มากที่สุด เพื่อฟันฝ่าวิกฤตินี้ไปให้ได้”

สำหรับประเด็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (พีดีพีเอ) ที่มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา แม้ว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ภาคเอกชนมีความกังวลกับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะบทลงโทษ ต้องการให้ภาครัฐทบทวนบทลงโทษจนกว่ากฎหมาย ลำดับรอง 20 ฉบับ มีผลบังคับใช้ เพราะอาจเกิดความไม่ชัดเจน และไม่ได้จงใจกระทำผิด จนทำให้ถูกลงโทษ จะสร้างความเสียหายให้กับเอกชน

ล่าสุด ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 เชื่อว่าจะผ่านการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ส่วนที่ตั้งงบลงทุนที่น้อย เชื่อว่าไม่น่าจะกระทบ หากโครงการใดที่ชะลอได้ ก็ชะลอไปก่อน เมื่อถึงโอกาสก็เดินหน้าต่อได้ เพราะขณะนี้ประเทศไทยเป็นที่สนใจของต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน เช่น บริษัทด้านเทคโนโลยี ของสหรัฐฯ สนใจที่จะเข้ามาตั้งฐานเป็นสำนักงานการให้บริการด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคนี้

ด้านนายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส ส.อ.ท. กล่าวว่า ประเด็นพีดีพีเอ เชื่อว่าประชาชนและภาคเอกชนกว่า 90% ยังไม่เข้าใจเนื้อหา และแนวทางปฏิบัติของกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นช่องทางของการแสวงหาผลประโยชน์ของบางฝ่ายได้ จึงอยากให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชา สัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจอย่างเข้มข้น.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ