เราคงจะได้ยินนักเศรษฐศาสตร์พูดถึงปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ของประเทศไทยเราบ่อยมากในช่วงปี 2 ปีมานี้...พูดไปติงไปในทำนองว่าตัวเลขของบ้านเราชักจะสูงขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ...ระวังจะเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจเอานะ
นักเศรษฐศาสตร์บางรายถึงกับใช้คำว่า “ระเบิดเวลา” ด้วยซ้ำในการชี้ให้เห็นถึงอันตรายของหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยเราในขณะนี้
เหตุที่ต้องใช้คำว่า “ระเบิดเวลา” ก็เพราะ ณ นาทีปัจจุบันผลกระทบในเชิงลบของหนี้ครัวเรือนอาจจะยังไม่เกิดขึ้น
แต่ถ้าปล่อยเอาไว้หรือนิ่งดูดายโดยไม่แก้ไข อาจเป็นผลทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนลดลง มีการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้นจะมีผลโดยตรงต่อสถาบันการเงินที่ให้เงินกู้...หรือไม่ก็ต่อผู้ให้กู้ยืมในรูปแบบต่างๆมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศ... โดยเฉพาะตัวเลขด้าน บริโภค ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่สำคัญมากตัวเลขหนึ่ง
หากครัวเรือนเป็นหนี้มากๆ รายได้ที่ได้มาจะต้องถูกหักไปชำระหนี้ อันเป็นผลทำให้เหลือเงินไปจับจ่ายใช้สอยน้อยลง...การบริโภคต่างๆก็จะน้อยลงด้วยเป็นเงาตามตัว
เมื่อแรงบริโภคหรือตัว C แผ่วลงก็เท่ากับว่า เครื่องยนต์ที่จะทำหน้าที่ปั๊มผลิตภัณฑ์ของประเทศพลอยแผ่วไปด้วย 1 เครื่อง
ไม่เพียงแต่จะเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจโดยตรงดังกล่าวเท่านั้น...ยังเกิดปัญหาทางอ้อมซึ่งเป็นปัญหาด้านสังคมที่จะทำให้บุคคลที่เป็นหนี้สินทั้งหลายรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเพราะไม่สามารถชำระหนี้ได้...
ถ้าคนส่วนใหญ่หรือจำนวนมากๆของประเทศตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ จะเอาเรี่ยวแรงหรือกำลังกายกำลังใจที่ไหนไปพัฒนาประเทศชาติของตนเองล่ะครับ
นี่คือเหตุผลหลักๆที่ว่า ทำไมนักเศรษฐศาสตร์ต้องหันมาเอาใจใส่กับปัญหาหนี้ครัวเรือนในดีกรีที่สูงขึ้น ในช่วงหลังๆ...เวลาแถลงข่าวเรื่องภาวะเศรษฐกิจของประเทศของสำนักใดก็ตาม มักอดมิได้ที่จะต้องเอ่ยถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยควบคู่ไปด้วยเสมอๆ
สำหรับข้อมูลที่มีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการของบ้านเรานั้น พบว่า เมื่อก่อนสถานการณ์โควิดหรือปลายปี 2562 หนี้ครัวเรือนของเราอยู่ที่ประมาณ 89.3 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศพบว่า เราสูงสุดเป็นอันดับ 12 จาก 70 ประเทศที่มีตัวเลขในเรื่องนี้ และเป็นอันดับ 2 ของเอเชียรองจากเกาหลีใต้เท่านั้นเอง
ต่อมา ณ สิ้นปี 2564 หลังโควิดระบาด 2 ปีเต็มพบว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของเราพุ่งขึ้นมาอยู่ในระดับ 90.1 เปอร์เซ็นต์...ทำให้น่าเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก และเป็นเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลไทยประกาศให้ปีนี้ (2565) เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือน”
เท่าที่ผ่านมา เราคงได้ยินได้ฟังเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ต่างๆ ถึงขั้นเปิดเวทีให้มีการเจรจาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยจัดเป็นกิจกรรมใหญ่ที่เรียกว่า “มหกรรมปลดหนี้” ตามศูนย์แสดงสินค้า หรือห้องประชุมของจังหวัดหลายๆจังหวัด
ซึ่งก็คงเป็นได้เพียงวิธีผ่อนคลายความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะหนี้สินต่างๆคงจะยังไม่หมดไป...แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีมากเพราะจะทำให้ลูกหนี้มีโอกาสหายใจได้บ้าง
การแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่ดีที่สุดก็คือ การเพิ่ม รายได้ครัวเรือน ให้สูงขึ้นนั่นเอง เพื่อให้ครัวเรือนต่างๆมีรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อหักที่จะต้องชำระหนี้แล้วยังเหลือไปใช้จ่ายในด้านอื่นๆ อันจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นบ้าง
แต่วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ยากที่สุดเพราะการเพิ่มรายได้หรือกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการสารพัดวิธีนั้นก็อย่างที่ทราบ กลับทำให้ช่องว่างของรายได้ถ่างออกไปอีก...คนรวย (รวมถึงเจ้าหนี้ด้วย) กลับรวยขึ้นไปอีกในขณะที่คนจน (แน่นอนรวมลูกหนี้ไว้เป็นส่วนใหญ่) มีแต่จนลงเพราะความสามารถในการเก็บเกี่ยวรายได้แตกต่างกัน
ก็คงต้องฝากให้รัฐบาลดูแลเรื่อง “การกระจายรายได้” ให้ดีที่สุดควบคู่ไปด้วยนะครับ เพื่อให้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของประเทศไทยเบาบางลง และไม่กลายเป็นระเบิดเวลาที่จะทำร้ายการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและสถาบันการเงินของไทยดังที่หลายๆฝ่ายห่วงใย.
“ซูม”