สภาพัฒน์ คาด GDP ปี 65 โต 3.5-4.5% แนะรัฐเร่งดูแลหนี้สินครัวเรือน ให้ความสำคัญมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้
เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 65 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4/64 ขยายตัว 1.9% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 0.2% ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยใน 4/64 ขยายตัวจากไตรมาสที่ 3/64 ที่ 1.8% รวมทั้งปี 2564 ขยายตัว 1.6% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 6.2% ในปี 63
ทั้งนี้ การใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและบริการ และการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวเร่งขึ้น การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐกลับมาขยายตัว ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง โดยการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 0.3% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 3.2% ในไตรมาสก่อนหน้าตามการคลี่คลายลงของการระบาดของโควิด และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 3.5%-4.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญประกอบด้วย 1. การปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ 2.การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว 3.การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า
และ 4.แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัว4.9% การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัว4.5% และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.8% ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 4.6% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดว่าอยู่ในช่วง 1.5%-2.5% จากเดิม 0.9%-1.9% และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 1.5% ของ GDP
ส่วนประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2565 การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี 2565 ที่ควรให้ความสำคัญมีดังนี้
1.การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศให้อยู่ในวงจำกัด
2.การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลภาคเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว
- การเร่งรัดติดตามมาตรการต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และมาตรการเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึง และในสาขาเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว
- การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานควบคู่ไปกับ การพิจารณามาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงานเพิ่มเติม
- การเร่งรัดมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคธุรกิจ
3.การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภายในประเทศ
- การติดตามและประเมินผลมาตรการต่างๆ ที่ดำเนินการไปแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
- การดูแลกลไกตลาด เพื่อแก้ไขและบรรเทาผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า รวมทั้งผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
- การพิจารณาการใช้จ่ายภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 และ 2566 โดยให้ความสำคัญมากขึ้นกับโครงการลงทุนที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างงานสร้างอาชีพในระดับชุมชน เพื่อรองรับแรงงานย้ายกลับภูมิลำเนา
4.การดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือน โดยให้ความสำคัญกับมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการจูงใจในการชำระหนี้และบรรเทาภาระหนี้สินที่สำคัญ
5.การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า
- การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าสำคัญไปยังตลาดหลัก ควบคู่กับการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพและการสนับสนุนการค้าชายแดน
- การพัฒนาสินค้าส่งออกให้มีคุณภาพและมาตรฐาน
- การแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อระบบการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์
- การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา - การปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต
6.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
- การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการลงทุนจริง
- การแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ
- การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก
- การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ รวมถึงขับเคลื่อนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละภูมิภาค
- การลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญ
- การพัฒนากำลังแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
7.การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
8.การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของภาคเศรษฐกิจต่างประเทศ
9.การขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนการกระจายรายได้ และปรับตัวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ