นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากสถิติยอดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เดินทางเข้าไทย 3 วันแรก ตั้งแต่วันที่ 1-3 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าวันที่ 1 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 2,400 คน วันที่ 2 จำนวน 2,088 คน และวันที่ 3 จำนวน 1,833 คน โดย 4 อันดับแรกที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุดคือ นักท่องเที่ยว จากประเทศเยอรมนี สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และญี่ปุ่น เดินทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิมากเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยสนามบินภูเก็ต และสนามบินดอนเมือง
ขณะที่ในวันที่ 4 พ.ย.2564 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกระโดดที่สนามบินเชียงใหม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) จากเกาหลีใต้ ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่สนใจมาตีกอล์ฟใน จ.เชียงใหม่ โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มกอล์ฟเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ ททท.ตั้งเป้าดึงมาเที่ยวไทยช่วงนี้ ร่วมกับกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นอกจากนี้จะมีการทำตลาดร่วมกับบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agents : OTAs) เสนอขายแพ็กเกจท่องเที่ยวแบบมัดรวม (Bundle Package) ให้นักท่องเที่ยวได้ใช้บริการท่องเที่ยวอย่างครบถ้วน
สำหรับพื้นที่หัวหินและชะอำ ซึ่งตนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากสถิติเมื่อปี 2562 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 1.5 ล้านคน แบ่งเป็นในพื้นที่หัวหินประมาณ 1 ล้านคน และพื้นที่ชะอำ 500,000 คน โดยหลังจากเปิดประเทศ วันที่ 1 พ.ย.2564 คาดว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในหัวหินและชะอำจะฟื้นตัว 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 และคาดว่าในไตรมาส 1 ปี 2565 จะฟื้นตัวเพิ่มเป็น 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2562 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลที่หนีหนาวเข้ามา
ด้านนายกลินท์ สารสิน ประธานอาวุโสหอการค้าไทย กล่าวว่า ประเทศไทยได้บทเรียนหลายเรื่องจากการระบาดของโควิด-19 จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ 2-3 รอบตั้งแต่ต้นปี 2563 หากมีการระบาดซ้ำรอบใหม่ในอนาคต มองว่า “อย่าเหมาเข่ง” หากจะล็อกดาวน์ก็ขอให้ปิดเฉพาะพื้นที่หรือกิจกรรมที่มีการระบาดเท่านั้น ถ้าล็อกดาวน์ทั้งหมดอีกครั้ง เศรษฐกิจไทยจะไปไม่ไหว ซึ่งหลังจากเปิดประเทศ 1 พ.ย.2564 เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งตลาดในและต่างประเทศ.