พิษโควิดระลอกใหม่ไล่ทุบเศรษฐกิจไทย “คลัง” หั่นเป้าจีดีพีรอบที่ 4 คาดปี 64 โต 1% ส่วนปี 65 โต 4% รับอานิสงส์เปิดประเทศ ขณะที่หอการค้าต่างประเทศเชื่อมั่นไทยมากขึ้น หลังรัฐบาลคลายล็อกดาวน์
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่เมื่อเดือน เม.ย.2564 ทำให้รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ และหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ทำให้กระทรวงการคลังต้องปรับประมาณการเศรษฐกิจอีกครั้ง ถือเป็นการปรับ 4 ครั้งในรอบปีนี้ โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ปรับเหลือ 1% จากครั้งแรกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 2.8% ครั้งที่ 2 เติบโต 2.3% และครั้งที่ 3 เติบโต 1.3% ส่วนจะปรับประมาณการอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดในช่วงปลายปีนี้อีกครั้ง
“การระบาดโควิดระลอกใหม่ถือว่ารุนแรงมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ทำให้ สศค.คาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 3 จะติดลบ 3.5% (-3.5%) แต่ทั้งนี้ต้องรอตัวเลขอย่างเป็นทางการจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ส่วนไตรมาส 4 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโต 3% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นทั้งปี 180,000 คน สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีเติบโต 1%”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลใช้หลากหลายมาตรการเพื่อประคองเศรษฐกิจไทย แบ่งเบาภาระประชาชน ช่วยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3, โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้, โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3, โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ และมาตรการด้านการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมถึงการใช้จ่ายเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท เป็นต้น รวมถึงการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนให้ครอบคลุมจำนวนประชากรให้มากที่สุด
นายพรชัย กล่าวต่อว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2565 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตรา 4% โดยคาดหวังว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในประเทศ ไทยจำนวน 6-7 ล้านคน ส่งผลรายได้เข้าประเทศประมาณ 380,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน คนไทยจะกลับมาท่องเที่ยวในประเทศมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ ขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.8% ต่อปี การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 4.2% ต่อปี
ส่วนปัจจัยอื่นๆที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโต ในปี 2565 ได้แก่ ภาครัฐมีเม็ดเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท และงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 307,000 ล้านบาท รวมทั้งเม็ดเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน ในส่วนที่เหลืออีกราว 354,000 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ได้รับอนุมัติไปแล้วนั้น เริ่มมีการทยอยเบิกเงินแล้ว ดังนั้น คาดการณ์ว่าเมื่อมีการเบิกจ่ายต่อเนื่อง จะทำให้การลงทุนของรัฐ ขยายตัว 5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.4% ส่วนปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ 68-69 เหรียญฯต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.4%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศ ไตรมาส 3/64 ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่างหอการค้าต่างประเทศในไทย 29 ประเทศ จากทั้งสิ้น 41 ประเทศ รวม 66 ราย ระหว่างเดือน ส.ค.-ต.ค.64 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกรายการ และดีที่สุดในรอบปีนี้ โดยดัชนีความเชื่อมั่นไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 41.7 เพิ่มจาก 27.7 ในไตรมาส 2/64, ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต อยู่ที่ 53.1 เพิ่มขึ้น 32.5 และดัชนีความเชื่อมั่นปัจจุบัน อยู่ที่ 30.2 เพิ่มจาก 22.8
“ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจต่างประเทศ เริ่มกลับมาจากการคลายล็อกดาวน์เมื่อเดือน ก.ย.64 และทยอยเปิดประเทศ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆกลับมา ทำให้ต่างชาติเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นจุดต่ำสุดที่อยู่ในเดือน ส.ค.64 แล้ว และจะทยอยดีขึ้น โดยใน 3-6 เดือนข้างหน้า มั่นใจว่าการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ จะทำให้โอกาสทางเศรษฐกิจกลับมาสมบูรณ์ที่สุด เพราะเปิดเศรษฐกิจได้แบบครบวงจร”.