ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท ลีดอน ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้ามายื่นเอกสารราคาบุหรี่ เพื่อให้กรมสรรพสามิต พิจารณาตามโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่แล้ว ซึ่งจะทำให้ทั้ง 2 บริษัทนำไปกำหนดราคาขายปลีก โดยคาดว่าราคาขายปลีกบุหรี่ใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.นี้ ส่วนการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) นั้น คาดว่าจะมายื่นเอกสารให้กรมสรรพสามิตพิจารณาวันที่ 14 ต.ค.นี้ โดยกรณีที่ ยสท. หยุดเดินเครื่องผลิตบุหรี่เป็นการชั่วคราวเนื่องจากเครื่องจักรชำรุดนั้น ขณะนี้ซ่อมแซมเสร็จแล้ว และคาดว่าจะกลับมาผลิตบุหรี่ได้อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.นี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ได้ประกาศปรับขึ้นไปแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเสียภาษีทั้งปริมาณและมูลค่า โดยบุหรี่ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกินซองละ 72 บาท จะเสียภาษีมูลค่าในอัตรา 25% และปริมาณ 1.25 บาทต่อมวน ส่วนบุหรี่ราคาแนะนำซองละเกินกว่า 72 บาทขึ้นไป จะเสียภาษีมูลค่าในอัตรา 42% และตามปริมาณ 1.25 บาทต่อมวน โดยคาดว่าจะส่งผลให้ราคาขายบุหรี่ขยับเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 5-12 บาทต่อซอง โดยบุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศจากซองละ 60 บาท จะเพิ่มไปเป็น 68-72 บาท ส่วนบุหรี่ที่ผลิตในประเทศซองละ 55-60 บาท จะปรับเป็น 60-70 บาท แต่ทั้งนี้ราคาอาจปรับขึ้นไม่เท่ากันตามกลยุทธ์การแข่งขัน.