นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ตลอดที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังคงประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องจำนวนมาก และหากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขจะนำไปสู่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ซึ่งสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยได้เคยเสนอมาตลอดว่าควรใช้มาตรการพักต้น พักดอกเบี้ย 6 เดือน และลดดอกเบี้ยโดยเฉพาะเอสเอ็มอีในกลุ่มเปราะบางเพื่อชะลอการเกิด NPL แต่มาตรการดังกล่าวยังไม่ได้รับการตอบรับจากภาครัฐ นอกจากนี้เพื่อให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังโควิด-19 คลี่คลายลง รัฐบาลควรมีการจัดตั้ง 3 กองทุนขึ้นมาช่วยเหลือภาคเอกชน คือ 1.กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี โดยนำเอสเอ็มอีที่ตกเกณฑ์การพิจารณาปล่อยสินเชื่อหรือที่ไม่เป็นเอ็นพีแอลมาช่วยเหลือและยกระดับการพัฒนา 2.กองทุนฟื้นฟูเอ็นพีแอล ที่จะช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างเป็นธรรม และ 3.กองทุนนวัตกรรม เพื่อที่จะขับเคลื่อนให้เอสเอ็มอีได้กลับมาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ เป็นต้น
นายแสงชัยยังกล่าวถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัด ว่า จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งสมาพันธ์เอสเอ็มอีฯเห็นด้วยแต่สิ่งที่กังวล คือ รัฐบาลต้องเข้มงวดมาตรการป้องกันดูแล ไม่ให้กลับมาระบาดหนักสู่ระลอกที่ 5 เพราะจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจล่าช้า และเอสเอ็มอีจะยิ่งวิกฤติกว่าเดิม ขณะที่การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาควรนำบทเรียนจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มาปรับใช้ ซึ่งมีข้อกังวลว่าต่างชาติอาจนำเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆเข้ามาได้จำเป็นต้องมีมาตรการที่ป้องกันอย่างรัดกุม โดยสิ่งที่จำเป็นที่สุดตอนนี้ คือ การเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 2 เข็ม คู่ไปกับการคุมราคาชุดตรวจโควิด-19 หรือ ATK ไม่ให้สูงเกิน 100 บาทต่อชุด เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายที่จะนำมาดูแลป้องกันตนเอง.