นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่มี พล.อ.ณัฐพล นาควาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน ได้เห็นชอบแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบ Island Hopping หรือเที่ยวข้ามเกาะ โดยเริ่มต้นที่ ภูเก็ต แซนด์บ๊อกซ์ 7 วัน จากนั้นสามารถเที่ยวข้ามไปยังเกาะไหง ไร่เลย์ เกาะพีพี จ.กระบี่ และเขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ จ.พังงา รวมถึง “สมุย พลัส” ซึ่งประกอบด้วย เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า อีก 7 วัน
โดยจะเร่งนำเสนอที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ก่อนวันที่ 15 ส.ค.นี้ เพื่อให้รูปแบบการเที่ยวข้ามเกาะเริ่มต้นที่ภูเก็ต ได้ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.นี้ (ล่าช้ากว่าแผนเดิมที่ต้องการเริ่มต้นวันที่ 1 ส.ค.) และจะไปต่อที่เกาะอื่นๆใน 7 วันหลังจากนั้นหรือเริ่มต้นวันที่ 22 ส.ค.2564 เป็นต้นไป ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะมาต้องขอใบรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย (COE) การเที่ยวรูปแบบ 7+7 มาตั้งแต่ต้นทาง
“จากนี้ไป ททท.จะเน้นทำการตลาดแบบ 7+7 เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้สึกว่าเที่ยวได้หลากหลายสถานที่มากขึ้น และล่าสุดรัฐบาลอังกฤษได้อัปเดตคำแนะนำการเดินทาง ยังคงสถานะประเทศไทยอยู่ในกลุ่มสีเหลืองเช่นเดิม รวมทั้งมีคู่แข่งหลายประเทศถูกปรับจากสีแดงมาเป็นสีเหลือง รวมถึงประเทศจากตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม การที่ยังคงประเทศไทยเป็นสีเหลือง หากฉีดวัคซีนครบถ้วน ขาเข้าอังกฤษไม่ต้องกักตัว จึงส่งผลบวกต่อตลาดนักท่องเที่ยวอังกฤษเข้าภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์มากขึ้น โดยแตกต่างจากการขึ้นสถานะประเทศสีแดง เมื่อกลับเข้าประเทศอังกฤษต้องถูกกักตัวในโรงแรมที่รัฐจัดให้ 10 วัน”
ผู้ว่าฯ ททท. กล่าวว่า ล่าสุด ททท.สำนักงานลอนดอน ร่วมกับสายการบินการ์ตา แอร์เวย์ส และ SecretEscape ซึ่งเป็นลักชัวรี ดิจิทัล แพลตฟอร์ม ที่มีฐานสมาชิก 20 ล้านคน โดยเสนอขายภูเก็ต คาดว่าจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไม่น้อยกว่า 5.6 ล้านคน ตั้งเป้าหมายการขาย 1,200 แพ็กเกจ จากแคมเปญนี้ ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ เฉพาะกลุ่มนี้นำรายได้เข้าไทย 100 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 75,000 บาทต่อทริป.