ใช้ “คนละครึ่ง” จ่ายฟู้ดดีลิเวอรีได้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน นายกฯได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายทั้งโครงการ “คนละครึ่ง” โครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” หรือพิจารณานำ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เร่งให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจตามเป้าหมายของโครงการ

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในส่วนของกระทรวงการคลัง ได้เร่งปรับปรุงระบบ และเชื่อมต่อระบบของธนาคารกรุงไทย กระทรวงการคลัง และของแพลตฟอร์มฟู้ดดีลิเวอรี เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จ่ายผู้ที่ได้รับสิทธิ์โครงการคนละครึ่ง สามารถใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดดีลิเวอรีได้อย่างถูกต้อง และเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ คาดว่าจะเชื่อมระบบ และพร้อมใช้งานได้ในเดือน ต.ค.64 นี้ ซึ่งจะทำให้มาใช้ในโครงการคนละครึ่งรอบที่ 2 ที่ภาครัฐจะมีการโอนเงินเข้ามาในแอปพลิเคชันเป๋าตัง อีก 1,500 บาทด้วย โดยมีระยะเวลาใช้ได้ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.64

“คลังเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้ประชาชนใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งอย่างสะดวก
แต่การปรับปรุงระบบใช้เวลาดำเนินการ เพราะต้องวางระบบตรวจสอบให้รัดกุม มิให้เกิดการทุจริตได้ ขณะเดียวกันก็ต้องตรวจสอบการใช้จ่ายได้ด้วยว่ามีการใช้จ่าย เพื่อซื้อสินค้าช่วยร้านค้าจริงๆด้วย”

สำหรับโครงการคนละครึ่งนั้น นับตั้งแต่วันที่ 1-22 ก.ค.ที่ผ่านมา มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้ว 38,500 ล้านบาท จากผู้ได้รับสิทธิ์คนละครึ่ง 27 ล้านราย ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนคนละครึ่งแล้ว 29.77 ล้านราย เหลืออีก 1.23 ล้านราย ก็จะครบ 31 ล้านราย ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ก็ได้ปรับปรุงเงื่อนไขการใช้จ่ายแล้ว จากเดิมวันละ 5,000 บาท เป็นวันละ 10,000 บาท เชื่อว่าจะช่วยการจับจ่ายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการโครงการมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้น จนถึงวันที่ 22 ก.ค.64 มีเงินหมุนเวียนจากโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้แล้ว 544 ล้านบาท จากยอดผู้ได้รับสิทธิ์ 480,000 คน ส่วนกรณีที่จะให้นำโครงการช้อปดีมีคืน กลับมาใช้แล้วเพิ่มวงเงินด้วยนั้น ขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดของมติ ศบศ.อย่างเป็นทางการ หากนำกลับมาใช้จริง กระทรวงการคลังก็มีความพร้อม แต่ต้องพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วยว่าจะนำมาใช้เมื่อใด ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดคลี่คลายลง.