นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ ให้กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ปรับปรุงรายละเอียดโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน โดยปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการจาก 260,000 คน เป็น 50,000 คน หรือ ลดลง 210,000 คน และปรับลดกรอบวงเงินของโครงการ จากเดิม 19,462 ล้านบาท เป็น 3,209 ล้านบาท หรือลดลง 16,252 ล้านบาท ซึ่งการปรับวงเงินโครงการลงครั้งนี้ยังทำให้กรอบวงเงินคงเหลือตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 166,524 ล้านบาท เป็น 182,776 ล้านบาท
ทั้งนี้ การปรับลดจำนวนคนและวงเงินลงดังกล่าว เนื่องจากผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้าหมาย โดย ณ วันที่ 31 มี.ค.2564 มีผลการเบิกจ่ายเพียง 323 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.66% ของวงเงินอนุมัติ โดยมีผู้จบการศึกษาใหม่ได้รับอนุมัติจ้างงาน 17,511 คน คิดเป็น 6.74% แบ่งเป็นปริญญาตรี 11,240 คน ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 2,409 คน ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 1,393 ล้านบาท มัธยมศึกษาตอนปลาย 2,464 คน โดยผู้ร่วมโครงการนี้รัฐบาลร่วมจ่ายเงินเดือนให้ครึ่งหนึ่งตามวุฒิการศึกษา โดยจ่ายจนสิ้นสุดโครงการ 923 ล้านบาท
โดยกรมการจัดหางานชี้แจงว่า โครงการนี้มีอุปสรรคที่ทำให้มีการจ้างงานต่ำกว่าเป้าหมาย มาจากการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติทำให้เกิดข้อจำกัดในการเข้าร่วม ช่วงเวลาโครงการไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาสำเร็จการศึกษา และตำแหน่งงานที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการ โดยส่วนใหญ่สถานประกอบการต้องการจ้างงานตำแหน่งฝ่ายผลิตหรือภาคบริการ แต่ผู้จบการศึกษาใหม่ต้องการทำงานในสำนักงาน และการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องการจ้างงานเพิ่ม ขณะที่การลดกลุ่มเป้าหมายเหลือ 50,000 คน กรมการจัดหางานระบุว่ามีคนลงทะเบียนเข้าร่วม โครงการเพิ่มขึ้นวันละ 200-500 คน จึงคาดว่าในเวลา 5 เดือน (พ.ค.-ก.ย.64) จะจ้างงานได้ตามเป้าหมาย ส่วนวงเงินนั้นได้ใช้วงเงินค่าจ้างแรงงานระดับปริญญาตรีเป็นฐานคำนวณ คือ 7,500 บาทต่อคน ทำให้เงิน 3,209 ล้านบาท เพียงพอ.