ผลักดัน "Hua Hin Recharge" หวังฟื้นเศรษฐกิจ รับไฮซีซั่นท่องเที่ยว

ภาครัฐและเอกชนหัวหิน ยื่นข้อเสนอ "รองนายกฯ อนุทิน" ผลักดันโครงการ "Hua Hin Recharge" พลิกฟื้นเศรษฐกิจ ธุรกิจ การจ้างงาน สร้างรายได้ในพื้นที่

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะกำกับดูแลงานด้านการท่องเที่ยว ไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และรับข้อเสนอโครงการ "Hua Hin Recharge" จากตัวแทนภาครัฐและเอกชนใน จ.ประจวบฯ นำโดย นายพัลลภ สิงหเสนี ผู้ว่าฯ นพ.สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุข นายประยงค์ จันทเต็ง นายอำเภอหัวหิน นางสาววาสนา ศรีกาญจนา นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ นายกรด โรจนเสถียร กรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมสปาไทย นายจีรวัฒน์ พราหมณี ปลัดเทศบาลเมืองหัวหิน นายศุรอัฐ ณรงค์ฤทธิ์ หอการค้า และตัวแทนภาคส่วนต่างๆ

ทั้งนี้ ข้อเสนอของโครงการ Hua Hin Recharge มีวัตถุประสงค์ ขอให้ภาครัฐจัดหาวัคซีนสำหรับประชาชน บุคคลากรทางการแพทย์และบุคคลากรภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลเมืองหัวหิน เพื่อเริ่มฉีดภายในวันที่ 1 มิ.ย.2564 ในจำนวนเพียงพอ นำไปสู่แผนเปิดพื้นที่เมืองหัวหินต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส ให้สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว ภายในวันที่ 1 ต.ค.2564 มีเป้าหมาย เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยจะมีการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศคบ.) ต่อไป

สำหรับโครงการ Hua Hin Recharge เป็นความร่วมมือของภาครัฐ การท่องเที่ยว โรงพยาบาลสาธารณสุข ภาคเอกชนในธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจรถเช่า บริษัททัวร์ เป็นต้น ในพื้นที่หัวหิน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกันสร้างความเข้าใจและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนในพื้นที่ รวมไปถึงการขอความเห็นชอบจาก ศบค. ให้พื้นที่เทศบาลหัวหินเป็นพื้นที่ได้รับการพิจารณาการจัดสรรวัคซีนอย่างเร่งด่วน โดยสามารถฉีดวัคซีนได้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.นี้ เป็นต้นไป และครบถ้วนตามเป้าหมาย 70% ของประชากรในพื้นที่ ภายใน 30 ก.ย. เพื่อกำหนดพื้นที่หัวหินเป็นพื้นที่สามารถเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน ให้เดินทาง มาพักในพื้นที่ได้โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2564 เป็นต้นไป นำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการจ้างงาน ทั้งในพื้นที่และภาพรวมของประเทศ 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การท่องเที่ยวถือเป็นรายได้หลักของหัวหินและการจ้างงานหลักในพื้นที่หัวหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ เป็นจุดหมายหลักทั้งของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งแม้จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยมาพักผ่อน แต่ส่วนมากเป็นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนและจุนเจือเศรษฐกิจ ที่ผ่านมา จึงมีธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ ต้องปิดกิจการ ลูกจ้างตกงานจำนวนมาก เทศบาลเมืองหัวหินจึงจำเป็นต้องรับวัคซีนอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 ในพื้นที่และเพื่อความปลอดภัยทั้งของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว สู่การเปิดเมือง เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ไม่เพียงแต่ชาวไทย แต่รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงจะเพียงพอทำให้เศรษฐกิจของหัวหินขับเคลื่อนต่อไปได้ 

นอกจากนี้ หัวหินยังเป็นพื้นที่มีชาวต่างชาติมาพักอาศัยระยะยาว รวมทั้งวัยเกษียณอายุพักอาศัยอยู่จำนวนมาก การกักตัวนับเป็นอุปสรรค ทำให้การเดินทางของญาติชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาสร้างรายได้หายไปด้วย การไม่กักตัวจะเป็นปัจจัยสำคัญดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตัดสินใจเดินทางมาพักผ่อนที่หัวหิน ซึ่งภาคเอกชนหัวหินได้รับข้อมูลจากคู่ค้า บริษัททัวร์รายใหญ่ในต่างประเทศ และความประสงค์โดยตรงจากลูกค้าชาวต่างชาติมีความประสงค์เดินทางมากท่องเที่ยวหัวหินอย่างแน่นอนหากการกักตัวถูกยกเลิก

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติยินดีให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ก่อนการเดินทางมาไทย เช่น ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครบถ้วน ตรวจเพื่อแสดงการปลอดเชื้อและอื่นๆ หัวหินจึงจำเป็นที่ต้องเปิดเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมีคุณสมบัติครบถ้วนตามมาตรการป้องกันแพร่โควิด-19 ให้สามารถเดินทางเข้ามายังหัวหินได้โดยไม่ต้องกักตัวโดยเร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตามแผนงานโครงการ Hua Hin Recharge จะมีกำลังหลักฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้แก่ โรงพยาบาลหัวหิน โรงพยาบาลซานเปาโล และโรงพยาบาลกรุงเทพฯ-หัวหิน รวมถึงอาสาสมัครสาธารณสุขอีกกว่า 400 คน ซึ่งมีความพร้อมฉีดวัคซีนให้บรรลุเป้าหมาย รวมถึงการแสดงสัญลักษณ์สถานประกอบการที่พนักงานได้รับวัคซีนครบถ้วนพร้อมให้บริการแก่นักท่องเที่ยวได้ โดยคาดว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 เดือน ต.ค.-ธ.ค.2564 จะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเดินทางเข้ามาถึง 100,000 คน สร้างรายได้แก่พื้นที่กว่า 1,200 ล้านบาท นับเป็นการพลิกฟื้นผู้ประกอบการ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านค้า และธุรกิจในทุกภาคส่วน รวมถึงพนักงานและแรงงานในภาคธุรกิจบริการอีกกว่า 89,000 คน.