ผ่านไปอย่างเรียบร้อยโรงเรียนไทยรัฐวิทยาแล้วนะครับ สำหรับการจัด “ดินเนอร์ทอล์ก” หรือการเสวนาระหว่างอาหารค่ำ ในหัวข้อ “ร่วมแรง เปลี่ยนแปลง แบ่งปัน”หรือถ้อยคำภาษาอังกฤษที่ว่า SHARING OUR COMMON FUTURE ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล เมื่อค่ำวันพุธที่ผ่านมา ผมติดคิวที่จะต้องเขียนเรื่องเบาๆ ประเภทชวนเที่ยวที่โน่นที่นี่ และเรื่องซอกๆแซกๆซะ 2 วัน ขออนุญาตหยิบมาเขียนย้อนหลังในวันนี้
ก่อนอื่นคงต้องขอบพระคุณ ผู้มีอุปการคุณ หรือผู้สนับสนุนทั้งหลาย ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้การจัดงานของพวกเราชาว “ไทยรัฐกรุ๊ป” ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ขอบพระคุณผู้หลักผู้ใหญ่และผู้นำของหลายๆองค์กรที่มาร่วมฟังการเสวนาด้วยตนเอง แสดงถึงความสนใจและให้ความสำคัญต่อประเด็น ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น
ที่สำคัญคงต้องขอบพระคุณ ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์, ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ, ท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ และท่านเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดนุชา พิชยนันท์ ในฐานะวิทยากรที่มาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทย และนโยบายของรัฐบาลอย่างละเอียดในดินเนอร์ทอลก์ครั้งนี้
ทุกๆท่านสรุปเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “โควิด-19” ทำให้เศรษฐกิจไทยทรุดหนักลงจริงๆ
แต่ ณ บัดนี้จากการร่วมแรงร่วมใจของทุกๆฝ่าย ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจของเราเริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้างแล้ว และผ่านจุดตกต่ำสูงสุดมาแล้ว
ท่านรองสุพัฒนพงษ์ถึงกับกล่าวย้ำว่า ปีหน้าเศรษฐกิจไทยของเราจะฟื้นแน่ โดยประชาชนทั่วไปจะเริ่มรู้สึกได้ในช่วงกลางปี
เหตุผลที่ทำให้เศรษฐกิจไทยของเรากลับมาฟื้นตัวเร็วกว่าที่เคยคาดไว้ ส่วนสำคัญที่สุดก็มาจากความสำเร็จของรัฐบาล ในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไว้ได้ ค่อนข้างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จนได้รับคำชมจากทั่วโลก
ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลใช้จ่ายเงินไปกว่า 800,000 ล้านบาท ในโครงการเยียวยาและโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ที่ได้ดำเนินการไปในห้วงเวลาที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวที่ว่านี้รวมไปถึงโครงการของรัฐบาลข้างต้น ยังไม่พอเพียงที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมาเหมือนเดิม
เพราะเรายังจำเป็นที่จะต้องเปิดประเทศด้วยความระมัดระวัง ซึ่งก็ยังจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวต่อไปอีกพักใหญ่ ขณะเดียวกัน การดึงการลงทุนจากต่างประเทศก็คงไม่ง่ายนัก เพราะประเทศส่วนใหญ่ยังสาหัสอยู่ เนื่องจากในบางประเทศมีการระบาดรอบ 2 เกิดขึ้นด้วย
ด้วยเหตุนี้ การใช้จ่ายของคนไทยในประเทศเราเอง จึงจะยังเป็นเรื่องสำคัญไปจนถึงกลางปีหน้า ในการที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้หมุนเวียนต่อไป ซึ่งผู้อภิปรายทุกท่าน ต่างก็ฝากความหวังไว้ตรงกันว่า ประชาชนชาวไทยในส่วนที่มีเงินออมเหลือกินเหลือใช้ จะควักเงินออกมาเที่ยวออกมาใช้จ่ายต่อไปอีก
รวมไปถึงการลงทุนในขนาดต่างๆ โดยทุนในประเทศเองก็ควรจะมีมากขึ้น...ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คณะวิทยากรที่เป็นคนของรัฐบาลทั้งหมด ร่วมกันขอร้องภาคเอกชน ที่มาร่วมฟังในค่ำคืนวันพุธที่แล้ว จะเพิ่มการลงทุนของท่านเอง และเครือข่ายให้มากยิ่งขึ้น
ถ้าเป็นนักการเมืองแท้ๆมาแสดงความคิดความเห็นในลักษณะนี้ ผมคงจะบอกว่า เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และคิดว่าจะเป็นการพูดจาในเชิงหาเสียงให้แก่รัฐบาล ว่าการทำงานต่างๆเป็นผลสำเร็จเสียมากกว่า
แต่สำหรับ 4 ท่านที่มาอภิปรายในครั้งนี้มีพื้นฐานมาจากคนทำงาน ในแบบมืออาชีพ ทั้งของภาคเอกชนและภาคราชการ ผมจึงให้คะแนนไปในทางเชื่อกว่าร้อยละ 90
เหลือเปอร์เซ็นต์ไม่เชื่อเอาไว้บ้าง เพื่อที่จะไปหาเหตุผลไว้คอยบอกคอยเตือนท่าน เผื่อว่าในบางมาตรการอาจมีปัญหาขึ้นมาได้ในอนาคต
ขอบคุณอีกครั้งนะครับวิทยากรทั้ง 4 ท่านและท่านผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงานในครั้งนี้...เราจะ “ร่วมแรง เปลี่ยนแปลง และแบ่งปัน” ก้าวข้ามวิกฤติเศรษฐกิจอันหนักหนาสาหัสที่สุดของประเทศไทยครั้งนี้ไปด้วยกันครับ.
“ซูม”