Krungthai COMPASS ปรับประมาณการส่งออกของไทยปี 2020 ว่าจะหดตัว 7.4% ก่อนจะพลิกกลับมาขยายตัว 4.0% ในปี 2021 คาดได้ปัจจัยหนุนจากนโยบายไบเดน
มานะ นิมิตรวานิช และ พิมฉัตร เอกฉันท์ Krungthai COMPASS ประเมินถึงทิศทางเศรษฐกิจ และการค้าทั่วโลก หลังได้ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า โจ ไบเดน จะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวก หลังไบเดนพลิกกลับมาเอาชนะได้ในรัฐชี้ชะตาสำคัญ เนื่องจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ไบเดน จะชนะการเลือกตั้ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวก ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดมีโอกาสเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) และเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
นัยต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกจะเป็นอย่างไร
แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวได้ไม่เท่ากับกรณี Blue Wave Victory แต่คาดว่าจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จากผลการศึกษาของ Moody’s Analytics พบว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวได้มากที่สุดในกรณีที่พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งทุกสนาม หรือที่เรียกว่า Blue Wave Victory โดยเศรษฐกิจจะขยายตัวได้น้อยลง หากพรรคเดโมแครตชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี และครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา
อย่างไรก็ดี การผลักดันนโยบายที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด นโยบายหลักของไบเดน อาจถูกสกัดจากฝั่งวุฒิสภาที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ โดยมองว่า นโยบายหลักที่ต้องตราเป็นกฎหมาย เช่น นโยบายภาษีและการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานอาจถูกต่อรองจากวุฒิสภา ซึ่งจะทำให้นโยบายของไบเดนไม่สามารถดำเนินการได้ทันทีตามที่ได้หาเสียงไว้ อย่างไรก็ตาม คาดว่า ว่าที่ประธานาธิบดีไบเดน อาจใช้คำสั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือ Executive Order ในบางนโยบายที่จำเป็นเร่งด่วน
ส่วนบรรยากาศการค้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้า มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น ที่ผ่านมา การมุ่งเดินหน้าทำสงครามการค้ากับจีนของสหรัฐฯ มักเป็นไปเพื่อการตอบโต้ท่าทีของจีนโดยตรง มักไม่ได้ผ่านการเห็นชอบหรือการอนุมัติจากสภา แต่ยุทธศาสตร์ของไบเดนจะเป็นการทำสงครามทางอ้อม หรือเป็นการโอบล้อมจีนผ่านความร่วมมือทางการค้ากับประเทศอื่นๆ เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองของสหรัฐฯ ในเวทีโลก
ทำให้ในระยะข้างหน้ามองว่า ไบเดน ซึ่งมีแนวคิดแบบอนุรักษนิยมจะนำสหรัฐฯ กลับเข้าแข่งขันทางการค้ากับชาติอื่นๆ ให้เป็นไปอย่างเท่าเทียม (Level-playing field) และอยู่ภายใต้กฎกติกา (Rule-based) มากขึ้นกว่าสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี เช่น การกลับเข้าร่วมกับองค์การการค้าโลก (WTO) หลังจากที่ทรัมป์ขู่จะถอนตัวจากสนธิสัญญา GPA1 ภายใต้การกำกับของ WTO หลังจากที่ WTO ตัดสินให้สหรัฐฯ มีความผิดฐานเก็บภาษีนำเข้าจากจีน และละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศหลายข้อ รวมถึงช่องโหว่ทางกฎหมายที่ทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบทางการค้า
นัยต่อการค้าของไทยนับจากนี้จะเป็นอย่างไร
เราน่าจะเห็นยุทธศาสตร์การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าแบบพหุภาคี (Multilateral) รวมถึงให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน รวมไปถึงโอกาสที่สหรัฐฯ จะกลับมาทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ของไทยก็มีเพิ่มมากขึ้น ภายหลังจากที่ถูกตัดสิทธิไปถึงสองครั้งในสมัยของทรัมป์
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะกลับมาสานต่อความตกลง CPTPP อีกครั้ง (หรือ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือเดิมคือข้อตกลง TPP) ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ที่ไทยยังไม่ได้มีข้อตกลงทางการค้าด้วย เช่น เม็กซิโกและแคนาดา เพราะเป็นแนวคิดหลักตั้งแต่สมัยที่โอบามาเป็นประธานาธิบดี และไบเดนเป็นรองประธานาธิบดี ในการสร้างจุดยุทธศาสตร์การค้าในฝั่งเอเชีย และเพิ่มแรงกดดันทางการค้ากับจีน
โดยเฉพาะข้อตกลง RCEP หรือ ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง ASEAN 10 ประเทศกับคู่ภาคีที่มีจีนเป็นหัวหอกหลัก
ความต้องการสินค้ากลุ่ม Commodity ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เช่น เหล็ก อลูมิเนียม คอนกรีต มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายไปกับการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามที่ไบเดนได้หาเสียงไว้ เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ รถไฟความเร็วสูง ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของไทย
การสนับสนุนพลังงานสะอาด (Green Energy) ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตพลังงานทางเลือกของไทยได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย โอกาสที่นักลงทุนทั่วโลกจะโฟกัสการลงทุนในกลุ่มของพลังงานทางเลือกมีมากขึ้น รวมถึงตัวเลือกในตลาดหุ้นไทยก็มีความน่าสนใจ
สะท้อนจากหุ้นใน SET Index ของไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงไฟฟ้า พลังงานสะอาด และธุรกิจที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นทันทีที่คะแนนของไบเดนพลิกกลับมาเอาชนะได้ในรัฐสำคัญ (เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2020)
Challenges
การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการส่งเสริมพลังงานสะอาด ทำให้มูลค่าตลาดรถยนต์ EV ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะลดบทบาทตลาดรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน และแน่นอนว่าจะกระทบผู้ประกอบการไทยที่เป็น Supply Chain ที่สำคัญของโลกในการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์สันดาปภายใน
นอกจากนี้ การห้ามการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในดินแดนของรัฐ และเป้าหมายในการลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ (Net zero emission) ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 จะยิ่งเป็นแรงกดดันให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตของไทย แม้ว่าจะช่วยให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้นก็ตาม
ความตกลง CPTPP อาจเพิ่มอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมเกษตรของไทย หากไทยมีความจำเป็นต้องเข้าร่วม CPTPP เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามก็จะเป็นการเปิดช่องให้ไทยต้องนำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิกมากขึ้น เช่น กากถั่วเหลือง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมไปถึงปุ๋ย สารเคมี และยาฆ่าแมลงที่หลายประเทศส่งออกเป็นสินค้าเกษตรหลัก
นอกจากนี้ ยังมีข้อบัญญัติที่สมาชิกจำเป็นต้องเข้าร่วมในอนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV 1991) ที่จะทำให้เกษตรกรไทยไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้ แต่กลับเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกสามารถนำพันธุ์พืชไทยไปวิจัยและพัฒนา และสามารถจดสิทธิบัตรได้ แม้ประเทศสมาชิกอย่างนิวซีแลนด์จะขอยืดเวลาการบังคับใช้เกณฑ์นี้ออกไป
การส่งออกสินค้าที่พึ่งพาแรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) อาจเป็นที่จับตามากขึ้น เช่น อาหารทะเล โดยสหรัฐฯ พุ่งเป้าไปที่ประเด็นด้านสิทธิแรงงานในภาคประมงที่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ซึ่งอาจเปิดทางไปสู่การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ
แม้ไทยมีความพยายามแก้ไขเรื่องการค้ามนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถขยับจากกลุ่ม Tier 3 ปี 2014 หรือกลุ่มที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำ มาเป็นกลุ่ม Tier 2 Watch list กลุ่มที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำ แต่กำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่ง แต่ถือว่ายังไม่มีความคืบหน้าให้เห็นชัดเจนนัก
ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกถูกลดทอนลงจากเงินบาทเทียบดอลลาร์ฯ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หากไบเดนชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ อาจสร้างแรงกดดันต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากสหรัฐฯ กดดันค่าเงินดอลลาร์ฯ ให้มีแนวโน้มอ่อนค่า กระทบค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์ฯ ให้แข็งค่าขึ้นได้ เนื่องจาก
1. ตลาดคลายความกังวลจากความไม่แน่นอน สะท้อนจากตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวกภายหลังจากไบเดนพลิกกลับมาเอาชนะได้จนมีคะแนนทิ้งห่างทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลให้ในระยะต่อไปตลาดมีโอกาสเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) และเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดเกิดใหม่
นอกจากนี้ ยังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มคงท่าทีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน และลดโอกาสที่จะใช้นโยบายควบคุมอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield Curve Control) เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมในระยะยาว
2. แรงกดดันต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฝั่งสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ผ่านการปรับเพิ่มอัตราภาษี เช่น การปรับขึ้นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาที่มีรายได้สูงจาก 37% เป็น 39.6% และภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% รวมถึงกำหนด Minimum federal tax กับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีอย่างชัดเจน ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีต้นทุนด้านภาษีเพิ่มสูงขึ้นและกระทบต่อผลกำไร ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากตลาดสหรัฐฯ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า.