ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ซึ่งเป็นองค์กรภายในสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้เผยแพร่รายงานการติดตามแนวโน้มการลงทุนโลก (Global Investment Trends Monitor) เมื่อวันที่ 27 ต.ค.63 โดยระบุว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 63 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ของประเทศต่างๆในโลก ลดลงมากถึง 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ซึ่งลดลงรุนแรงกว่าที่อังค์ถัดคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนประเทศกำลังพัฒนา สถานการณ์การลงทุนดีกว่า ส่วนแนวโน้มเอฟดีไอของปี 63 ยังคงคาดติดลบ 30-40% สำหรับสาเหตุที่เอฟดีไอลดลงมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ประเทศต่างๆ มีมาตรการล็อกดาวน์นั้น ส่งผลให้โครงการลงทุนต่างๆชะลอตัว ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ชะลอดูสถานการณ์ และประเมินการลงทุนใหม่อีกครั้ง
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกปี 63 เอฟดีไอของประเทศพัฒนาแล้วลดลงมากถึง 75% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 98,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการลดลงของเอฟดีไอไปสหภาพยุโรป โดยเฉพาะเนเธอร์แลนด์และสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมสหรัฐฯ เอฟดีไอมีมูลค่า 68,000 ล้านเหรียญฯ ลดลง 56% ขณะที่เอฟดีไอที่ไหลเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนาลดลงเพียง 16% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเงินลงทุนส่วนใหญ่ไหลไปจีน ส่งผลให้เงินลงทุนไหลเข้าเอเชียลดลงเพียง 12% เท่านั้น ส่วนแอฟริกา ลดลง 28% ละตินอเมริกาและแคริบเบียน ลด 25%
สำหรับอาเซียน เอฟดีไอไหลเข้ามีมูลค่า 62,000 ล้าน เหรียญฯ ลดลง 20% โดยประเทศที่เงินไหลเข้าลดลงมากที่สุดคือ สิงคโปร์ลดลง 28% มูลค่า 33,000 ล้านเหรียญฯ ตามด้วยอินโดนีเซียลดลง 24% มูลค่า 9,100 ล้านเหรียญฯ เวียดนาม ลดลง 16% มูลค่า 6,800 ล้านเหรียญฯ ยกเว้นฟิลิปปินส์ ที่เงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้น 20% มาอยู่ที่ 3,000 ล้านเหรียญฯ ส่วนไทยเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก มูลค่า 4,800 ล้านเหรียญฯ
สำหรับคาดการณ์เอฟดีไอปี 63 อังค์ถัดยังคงไว้ที่ลดลง 30-40% เมื่อเทียบกับปี 62 ที่มีมูลค่า 1.54 ล้านล้านเหรียญฯ แต่อัตราการลดลงของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วชะลอลง เนื่องจากสถานการณ์ในกลุ่มนี้ดีขึ้นในไตรมาส 3.