นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงาน เปิดเผยนโยบายการบริหารงานด้านพลังงานว่า จะเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้พลังงานขับเคลื่อนการสร้างงาน สร้างรายได้ และวางรากฐานสู่อนาคต รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เพื่อช่วยบรรเทาค่าครองชีพประชาชน โดยจะเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ บมจ.ปตท.เกี่ยวกับการตรึงราคาพลังงาน เช่น ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี)
สำหรับแนวทางการบริหารงาน จะเน้นสานงานเดิมโดยเฉพาะงานเร่งด่วน โดยได้มอบให้ผู้บริหารกระทรวงไปหาข้อสรุปโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานรากภายใน 30 วัน โดยมีเป้าหมายเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนให้ได้ภายในปีนี้ เพียงแต่ให้มั่นใจว่ารายได้ที่จะเกิดขึ้นต้องตกถึงเกษตรกรอย่างแท้จริง “ขอยืนยันว่าการขับเคลื่อนเรื่องโรงไฟฟ้าชุมชนไม่จำเป็นต้องรอให้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี 2018) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ผ่าน ครม.แต่อย่างใด เพราะกระทรวงพลังงานสามารถทำเป็นบทแทรกเพื่อขอความเห็นตามขั้นตอนกระทรวงพลังงานไปก่อนได้”
ส่วนโครงการโซลาร์ภาคประชาชนที่จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากผู้ผลิตไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชนที่จะขายไฟฟ้าเข้าระบบซื้อขายของ 3 การไฟฟ้าในอัตรา 1.68 บาทต่อหน่วยนั้น ต้องการให้เพิ่มอัตราการรับซื้อได้ แต่ราคาต้องไม่เป็นภาระต่อค่าไฟของประชาชนจนเกินไป จึงให้กระทรวงพลังงานไปศึกษาอีกครั้ง นอกจากนี้ ตนได้กำหนดนโยบายที่เน้นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนทั่วประเทศ ผ่านการใช้งบของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในปีงบประมาณ 64 ซึ่งจากการหารือร่วมภาครัฐและเอกชนได้ให้กระทรวงพลังงาน ไปคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร โดยเฉพาะรองรับการจ้างงานของนักศึกษาจบใหม่ 500,000 คน และการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งจะได้ข้อสรุปใน 2 สัปดาห์นี้ ส่วนการบริหารจัดการเพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงด้านพลังงาน เรื่องที่ตนสนใจคือการหาความชัดเจนการเจรจาเพื่อร่วมพัฒนาพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา ส่วนการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้ให้ไปศึกษาว่ามีผู้สนใจมากน้อยเพียงใด แปลงปิโตรเลียมใหม่ๆที่จะเปิดประมูล มีความคุ้มค่าแค่ไหน.