นายรัฐพล ภักดีภูมิ ประธานกรรมการบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดเผยว่า ธุรกิจรับส่งพัสดุมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก เนื่องจากมีคู่แข่งในตลาดเพิ่มขึ้น ถือเป็นผลดีต่อผู้บริโภคอย่างมากเพราะเลือกใช้บริการได้หลากหลายและราคาถูก แต่หากเกิดปัญหาต่อผู้บริโภค ธุรกิจนี้ไม่มีการกำกับดูแลจากภาครัฐ เหมือนกับธุรกิจพลังงาน ที่มีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรืออย่างธุรกิจโทรคมนาคมและวิทยุโทรทัศน์ ที่มีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำกับดูแล ทำให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม และดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภค ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการรับส่งพัสดุ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค “ไปรษณีย์ไทยอยู่ในกฎระเบียบ จะขยายสาขาก็ต้องขออนุญาต ให้บริการต่างๆก็ต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ไปรษณีย์ไทย ขณะที่เอกชนขยายสาขาเพิ่มจำนวนรถ ให้บริการประเภทเดียวกัน ไม่ต้องขออนุญาต หรือไม่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ไปรษณีย์ไทย ดังนั้น ควรมีองค์กรกลางมากำกับดูแล เพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขันและเป็นมาตรฐานเดียวกัน”
ด้านนายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปณท กล่าวว่า หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้วิถีชีวิตต้องเปลี่ยนแปลง ขณะที่ไปรษณีย์ไทยก็ต้องปรับวิถีการทำงานด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ ด้วยการหาพันธมิตรธุรกิจขยายการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น ล่าสุดได้เจรจากับธนาคารกรุงไทย เพื่อให้บริการรับชำระค่าภาษีโรงเรือนขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ และเจรจากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อขยายความร่วมมือ จากปัจจุบันรับส่งใบเสร็จหรือบิลค่าไฟ นอกจากนี้ ยังเจรจากับกลุ่มซีพี ออลล์ เพื่อนำร้านกาแฟ มาอยู่ในที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ขณะที่ปัจจุบันได้ร่วมมือกับองค์กรเภสัชกรรมรับส่งยาให้กับโรงพยาบาล จากเดิม 100 แห่ง ขยายเพิ่มเป็น 200 แห่ง รวมถึงจะพัฒนาตู้ไปรษณีย์ที่ชาญฉลาด หรือ iBox รับฝากและจำหน่ายสิ่งของระบบอัตโนมัติ ลักษณะคล้ายตู้รับฝาก-ถอนเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการกรณีไม่อยู่ที่บ้าน และร่วมกับบริษัทเอสซีจี จำกัด ผลิตกล่องกระดาษที่ทนทานนำกลับมาใช้ใหม่ได้.