อนาคตประเทศไทย ในสายตา นักลงทุนต่างชาติ วันนี้เราแพ้ “เวียดนาม” สิ้นเชิง ขนาด ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯลงทุนเป็น “เซลล์แมน” ไป ขายอนาคตประเทศไทย โดยมี “ความเชื่อมั่น” เป็นเดิมพัน ปลุกปั้นโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ขึ้นมาเป็นจุดขายระยะยาว เพื่อดึง นักลงทุนญี่ปุ่น นักลงทุนจีน ให้เข้ามาลงทุน มีการลดแลกแจกแถมภาษีมากมาย รวมทั้ง การให้เช่าที่ดินนานถึง 99 ปี แต่พอเห็นชื่อ “นักการเมือง” ที่แย่งเก้าอี้กระทรวงเศรษฐกิจสำคัญของชาติ แม้แต่คนไทยยังร้องยี้ แล้วนักลงทุนต่างชาติจะให้ความเชื่อมั่นได้อย่างไร
ผมได้เรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ถ้าตั้ง คนที่คนไทยเห็นแล้วร้องยี้เป็นรัฐมนตรี ก็เท่ากับ นายกฯสมรู้ร่วมคิดด้วย จะทำให้ประเทศชาติเสียหายในระยะยาว และโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นหลังโควิด-19 ก็คงจะยากขึ้น
ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2556 ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะปฏิวัติยึดอำนาจเพียงปีเดียวจนถึงปัจจุบันปี 2563 สำนักวิจัย KKP ของ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุในงานวิจัยว่า นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยมาตลอดทุกปีรวมกว่า 800,000 ล้านบาทแล้ว ในปีนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึง 3 กรกฎาคม นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยแทบทุกสัปดาห์ ขายไปอีกกว่า 220,000 ล้านบาท ทำให้ดัชนีหุ้นไทยไม่สามารถข้าม 1,400 จุดไปได้ มิหนำซ้ำ นักลงทุนรายย่อย ยังกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของ นักปั่นหุ้นขาใหญ่ ที่คุมเกมตลาดอีก
KKP ระบุว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นไทยอ้างอิงจาก ดัชนี MSCI Thailand Index เทียบกับประเทศอื่นแล้ว สู้เขาไม่ได้เลย จึงไม่แปลกที่นักลงทุนต่างชาติเมินหุ้นไทย ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยแทบไม่มีการเติบโตเลย อยู่ในระดับเดิมปี 2556 ขณะที่ ดัชนี MSCI สหรัฐฯเติบโตกว่า 100% และ ดัชนี MSCI ในภูมิภาคเอเชียโดยรวมเติบโตกว่า 50%
KKP ระบุในงานวิจัยว่า ทิศทางการเติบโตของตลาดหุ้นในระยะยาว เป็นเครื่องสะท้อนศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศด้วย การที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจประเทศไทยน้อยลง และหันไปลงทุนในประเทศอื่นแทน ไม่เพียงกดดันทิศทางตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ที่อาจทำให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในอนาคตตกต่ำลงอย่างถาวร เมื่อเทียบกับอดีตและเทียบกับประเทศอื่นๆ
จากการวิเคราะห์ KKP พบว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่ำมาโดยตลอด จากค่าเฉลี่ย 7% ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง มาอยู่ที่ 5% ในช่วงปี 2542-2555 ในขณะที่ ช่วง 7 ปีที่ผ่านมาค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปีเท่านั้น หากมองในแง่ การยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนในประเทศ ที่วัดกันด้วย การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP percapita) ก็พบว่า คนไทยพัฒนาช้ากว่าประเทศอื่น ยังไม่สามารถเติบโตจนหลุดออกจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” (Middle income trap) ไปได้ 20 ปีที่แล้ว คนจีน มีรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 959 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่ำกว่าคนไทยที่อยู่ที่ 2,007 ดอลลาร์กว่าเท่าตัว แต่ปัจจุบัน คนจีนมีรายได้ต่อหัวสูงถึง 10,261 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า แต่ คนไทยอยู่ที่ 7,808 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4 เท่า
นอกจากนี้ ความสามารถในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศหรือ FDI (Foreign direct investment) ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ไทยก็ลดสัดส่วนลงจาก 44% ใน กลุ่มประเทศอาเซียน เหลือเพียง 14% ในปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้ เป็นผลงานรัฐบาลช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปลายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่ครองอำนาจมา 6 ปี ถ้ายังคิดแบบเดิมๆ และ เอานักการเมืองเสือหิวมาเป็นรัฐมนตรีด้วยเงื่อนไขการเมือง อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คนไทยทุกคนคงมองออก และนั่นคือ อนาคตของคนไทยทุกคนด้วย เสี่ยงไม่แพ้โควิด-19 เราเลือกพวกคุณไปเป็นรัฐบาล เพื่อทำให้ชีวิตคนไทย 68 ล้านคนดีขึ้น ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไปเถอะ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”