เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีการเปิด “เอาต์เลต” หรือสถานที่ช็อปปิ้งนอกเมือง ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศ แต่บ้านเราเพิ่งจะมีเป็นแห่งที่ 2 ที่หมู่ 14 ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ
ได้แก่ “สยาม พรีเมี่ยม เอาต์เลตส์ กรุงเทพ” หรือในชื่อภาษา อังกฤษว่า SIAM PREMIUM OUTLETS BANGKOK จากการร่วมลงทุนระหว่าง สยามพิวรรธน์ ของหญิงเหล็ก ชฎาทิพ จูตระกูล กับ บริษัท SIMON PROPERTY GROUP เจ้าตำรับพรีเมียม เอาต์เลตส์ จากสหรัฐอเมริกา
เนรมิตเนื้อที่ 150 ไร่ ซึ่งแต่เดิมเป็นทุ่งนาล้วนๆให้เป็นแหล่งช็อปปิ้งแห่งใหม่ ซึ่งหากเต็มโครงการเมื่อไร จะมีสินค้าแบรนด์ทั้งระดับโลก และแบรนด์ดังของไทยไปออกร้านไปต่ำกว่า 200 แบรนด์ บนเนื้อที่ที่สร้างไว้สำหรับจำหน่ายสินค้าโดยตรง 50,000 ตารางเมตร
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ประเทศไทยของเราต้องการลงทุน ทั้งจากภายใน และจากต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพื่อมาช่วยปลุกเศรษฐกิจไทยที่ถดถอยลงไปอย่างมากจากพิษสงของเจ้าโควิด-19
มากจนถึงขนาดรัฐบาลไทยเราเองต้องหาเงินกู้และเงินงบประมาณมาถึง 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการฟื้นฟูดังที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อมีนักลงทุนต่างประเทศมาจับมือกับนักลงทุนไทย ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจของเราด้วยในโครงการ “พรีเมียม เอาท์เลตส์” ผมในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เอาใจช่วย เอาใจเชียร์ประเทศไทย อยากเห็นเศรษฐกิจไทยฟื้นฟูกลับมาโดยเร็ว ขออนุญาตเขียนให้กำลังใจ โครงการนี้ อีกสักวันนะครับ
จากการหาข้อมูลเบื้องต้นของผมทราบว่า โครงการนี้ใช้เงินลงทุนเกือบ 5,000 ล้านบาท ถือเป็นโครงการที่ค่อนข้างใหญ่โครงการหนึ่ง
เดิมกำหนดจะเปิดในเดือนเมษายน แต่โชคร้ายเจอไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มออกฤทธิ์หนักมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงขั้นต้องใช้นโยบายล็อกดาวน์และปิดประเทศไทย ทำให้โครงการนี้ต้องเลื่อนออกไป
ได้จังหวะมาเปิดในช่วงที่เราผ่อนคลายเฟส 4 และตัวเลขผู้ติดเชื้อภายในประเทศของเราก็เป็น 0 อย่างน่าชื่นใจในขณะนี้
สำหรับประเทศไทยโดยรวมของเราแล้ว การที่มีโครงการใหญ่ของ ภาคเอกชน เปิดเปรี้ยงออกมาในทันทีที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายนั้น ผมถือว่าเป็นการ “สร้างขวัญ” ให้แก่ประเทศอย่างสำคัญยิ่ง
ทำให้เกิดความหวัง เกิดกำลังใจ และเป็นตัวอย่างแก่โครงการอื่นๆ และนักลงทุนอื่นๆ ที่จะทยอยกลับมา “ฮึดสู้” กันต่อๆไป
ยิ่งได้ทราบข่าวว่าในการเปิดวันแรกๆนั้น ผู้คนแน่นมาก เพราะมีการลดราคาค่อนข้างมากในหลายๆแบรนด์ ทำให้มีแฟนๆไปเข้าคิวยาวเหยียด (โดยมีการรักษาระยะห่างและสวมหน้ากากพรั่งพร้อม)
แต่เดิมเป้าหมายของผู้ลงทุนอยู่ที่นักท่องเที่ยว 40 เปอร์เซ็นต์ และลูกค้าชาวไทย 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ต้องเปลี่ยนเป้าหมายมาที่คนไทยเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ไปก่อน
ส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยในกลุ่มรายได้สูง หรือที่อยู่ในกลุ่ม 10 เปอร์เซ็นต์ข้างบน ที่มีกว่า 6 ล้านคน และกอบโกย จีดีพี ของประเทศไทยไปได้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
ผู้คนกลุ่มนี้ปกติชอบไปต่างประเทศ แต่ช่วงนี้ไปยากก็คงจะมาจับจ่ายใช้สอยในเอาต์เลตไทยๆ เป็นการทดแทนทำให้เปิดวันแรกๆ ขายดิบขายดีอย่างที่ว่า
ผมยังห่วงอยู่ว่าจะเป็นเหมือนคำเปรียบเปรยของคนโบราณที่ว่า “ขี้ใหม่หมาหอม” คือพอมีอะไรใหม่ๆ ออกมาทีก็จะแห่กันไปแน่นขนัด แต่พอเริ่มเก่าก็ค่อยๆถอยหนี หันไปหาของใหม่ๆที่หอมกว่า
ยังไงๆก็ขอให้พรีเมียม เอาต์เลตส์แห่งนี้ “หอม” ไปอีกพักใหญ่ๆ จนสามารถยืนหยัดอยู่ได้ และพอดีกับที่ประเทศไทยของเราเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้เต็มรูปแบบในปีหน้าปีโน้นก็แล้วกัน
อ้อ! แล้วก็ฝากไว้อีกข้อ...สำหรับพี่น้องชาวไทยกลุ่มบนที่มีเงินเก็บอยู่เยอะว่า เมื่อเที่ยวที่เอาต์เลตนี้ไปแล้ว อย่าลืมไปเที่ยวและไปช็อปผลิตภัณฑ์โอทอปตามนโยบาย “ไทยเที่ยวไทย” ด้วยนะครับ
นั่นแหละ โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยตัวจริงเสียงจริงละ เพราะการไปเที่ยวและไปใช้จ่ายในต่างจังหวัดทั่วประเทศ จะเป็นการกระจายรายได้สู่พี่น้องรากหญ้าของเราได้อย่างแท้จริงครับ.
“ซูม”