นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้อนุมัติร่างสัญญาระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีอีเอ็ม) ซึ่งมีเงื่อนไขของการขยายสัมปทานไปอีก 15 ปี 8 เดือน แลกกับการยุติข้อพิพาททั้งหมดที่มีต่อกัน โดยขณะนี้ร่างสัญญาดังกล่าว กระทรวงคมนาคมได้ส่งไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเตรียมบรรจุวาระแล้ว ส่วนกรณีของการลงนามสัญญาดังกล่าวที่จะทันต่อกรอบเวลาสัญญาบริหารทางด่วนเดิมที่กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 29 ก.พ.นี้หรือไม่นั้น ตนไม่สามารถตอบได้ แต่อย่างไรก็ดี ได้สั่งการให้ กทพ.ศึกษาแนวทางรองรับว่าหากลงนามสัญญาใหม่ไม่ทันสัญญาเดิมหมดอายุ จะสามารถเจรจากับบีอีเอ็มอย่างไร ในฐานะคู่สัญญาที่รับบริหารโครงการ
ส่วนเรื่องข้อพิพาททั้งหมดถือว่าได้ข้อสรุปแล้ว เมื่อมีผู้เสียหายก็ต้องมีการจ่ายชดเชยตามจริง ส่วนใครที่ทำให้เกิดข้อพิพาทนี้ขึ้นมา ตนได้ประสานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อเข้ามาตรวจสอบหาผู้ที่ทำให้เกิดข้อพิพาทเหล่านี้ และดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาร่างกฎกระทรวงในการกำหนดอัตราความเร็วรถ ตามนโยบายปรับเพิ่มอัตราความเร็วรถส่วนบุคคลบนถนนขนาด 4 ช่องจราจรขึ้นไป จากความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตร (กม.)/ชั่วโมง (ชม.) เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. โดยได้มอบให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) นำร่างดังกล่าวขึ้นประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นเวลา 1 เดือน จากนั้นจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ในเดือน มี.ค.63 ก่อนจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณา และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งตั้งเป้าจะให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด ไม่เกินภายในปีนี้แน่นอน นอกจากนี้ ได้มอบให้กรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) จัดทำป้ายเพื่อที่จะแจ้งเตือนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนรับทราบว่าถนนบริเวณช่วงใดสามารถใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม.ต่อ ชม.ได้ ในระยะทางไม่น้อยกว่า 500 เมตร ทั้งก่อนเข้าและออกบริเวณนั้นๆ.