จีนสั่งห้ามทัวร์จัดนำเที่ยวทั่วโลก แอตต้าชี้ไทยรับผลกระทบรายได้สูญ 5 หมื่นล้าน

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกคำสั่งห้ามบริษัททัวร์นำคนจีนออกไปเที่ยวทั่วโลก “แอตต้า” คาดคำสั่งนี้จะมีระยะ 2 เดือน คาดนักท่องเที่ยวจีนหายไปจากไทย 1.2–1.3 ล้านคน สูญรายได้ 5 หมื่นล้านบาท ยังเชื่อมั่นจีน “เอาอยู่” หลังใช้ยาแรง ด้าน ททท.ชี้หากเหมือนตอนโรคซาร์ระบาด มาตรการยุติทำทัวร์ของรัฐบาลจีนจะนาน 3 เดือน ไทยสูญนักท่องเที่ยว 1.89 ล้านคน เตรียมหาตลาดอื่นทดแทน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกประกาศด่วนตามคำสั่งของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้หยุดการระบาดของโรคปอดสายพันธุ์ใหม่อย่างเร่งด่วนและปกป้องชีวิตประชาชน กระทรวงจึงออกคำสั่งดังต่อไปนี้ 1.บริษัทนำเที่ยวทั่วประเทศหยุดดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยว หยุดขายผลิตภัณฑ์ตั๋วเครื่องบินและโรงแรม 2.ทัวร์ที่เดินทางจัดออกไปแล้วขอให้ดำเนินการให้เรียบร้อย แต่ต้องระวังและคำนึงถึงสถานการณ์สุขภาพของนักท่องเที่ยวแต่ละคน ทุกหน่วยงานท้องถิ่นต้องตระหนักถึงความสำคัญเหตุการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้ และสนับสนุนนโยบายที่เกี่ยวข้องด้านบริการและแก้ปัญหาหลังการขายให้สมเหตุสมผลต่อไป

นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า คำสั่งดังกล่าวให้บริษัทนำเที่ยวหยุดจัดทัวร์นำนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกไปทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่พวกที่เดินทางออกไปเยี่ยมญาติ เดินทางท่องเที่ยวกันเอง (เอฟไอที) หรือมาทำธุรกิจ รวมทั้งจัดเดินทางกันเองยังเดินทางได้อยู่ แต่ถ้าเป็นผู้ประกอบการทัวร์รัฐบาลจีนสั่งห้ามจัดเลย ก็หวังว่าจะมีระยะเวลา 1-2 เดือนที่ทางการจีนจะควบคุมได้ ตอนนี้ยังไม่รู้จะจบอย่างไร ขณะที่ผลกระทบต่อประเทศไทยจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนหายไปในช่วง 2 เดือนนี้ประมาณ 1.2-1.3 ล้านคน ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวหายไปประมาณ 48,000-52,000 ล้านบาท

“ตามปกติจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเฉลี่ยเดือนละ 900,000 คน ถ้าคำสั่งนี้มีระยะเวลา 2 เดือน ปกติจะมีชาวจีนมาไทย 1.8 ล้านคน ครึ่งหนึ่งคือ 900,000 คน มากับบริษัททัวร์ ก็เท่ากับจะไม่มีเลย ส่วนอีกครึ่งที่เดินทางมาเอง ไม่ว่าจะมาเยี่ยมญาติ มาเที่ยวกันเอง หรือเป็นนักศึกษา ก็คงหายไปส่วนหนึ่ง โดยรวมคาดว่าจะหายไป 70% ของ 1.8 ล้านคนในช่วง 2 เดือนนี้ หรือประมาณ 1.2-1.3 ล้านคน ปกติมาเที่ยวไทยมีรายได้เข้าประเทศเฉลี่ยรายละ 40,000 บาทต่อคน”

นายวิชิต กล่าวว่า ในช่วงนี้ซึ่งเป็นเทศกาลตรุษจีน มีชาวจีนมาเที่ยวและอยู่ในไทย 280,000 -300,000 คน ซึ่งไกด์ทัวร์ดูแลลูกทัวร์อยู่อย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีอาการไข้ผิดปกติก็มีแผนนำส่งโรงพยาบาลอยู่แล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะมากรุ๊ปสุดท้ายวันที่ 24 ม.ค.2563 แต่พอหลังวันที่ 25 ม.ค.คงไม่มีกรุ๊ปทัวร์จีนมาไทยหรือออกนอกประเทศอีก ส่วนชาวจีนที่จ่ายเงินค่าทัวร์ไปแล้วทางเอเย่นต์ทัวร์ในจีนจะมีการคืนเงินให้ทั้งหมดเพราะเป็นคำสั่งของรัฐบาล ในตอนนี้ก็ต้องหวังว่ารัฐบาลจีนใช้ยาแรงแล้วจะได้ผลสามารถควบคุมไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ เหมือนที่เคยคุมการระบาดของไข้หวัดซาร์ที่ระบาดในปี 2546 โดยใช้เวลา 3 เดือน

ส่วนผู้ประกอบการบริษัทท่องเที่ยวของไทยต้องปรับตัวในเมื่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนจะหายไปตอนนี้ ด้วยการพุ่งเป้าหาตลาดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น อาเซียน CLMV ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม รวมไปถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต้องเป็นหัวหอกในการนำทัพไปทำตลาดนี้

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีไข้หวัดซาร์ เมื่อปี 2546 จีนประกาศมาตรการยุติการทำทัวร์เป็นระยะเวลา 3 เดือน ส่วนกรณีครั้งนี้ คาดว่าจะประกาศมาตรการยุติทำทัวร์ในเบื้องต้นเป็นระยะ 3 เดือน คือสิ้นสุดเดือน เม.ย. 2563 ดังนั้น จากเทศกาลตรุษจีนจนถึงเดือน เม.ย.ในกรณีปกติจะมีนักท่องเที่ยวไปไทยประมาณ 2.7 ล้านคน ประเมินว่าในขณะนี้จากการระบาดที่ยังค่อนข้างรุนแรง และยังไม่สามารถหยุดการแพร่ระบาดได้ ไทยจะสูญเสียนักท่องเที่ยวประมาณ 70% หรือสูญเสียนักท่องเที่ยวประมาณ 1.89 ล้านคน ในช่วงเทศกาลตรุษจีน-เม.ย.2563 หากรัฐบาลจีนสามารถควบคุมการระบาดได้เร็วขึ้น อาจจะประเมินผลเสียหายอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่ไทยควรทำคือประชาสัมพันธ์มาตรการดูแลนักท่องเที่ยวในกรณีการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส และดูแลนักท่องเที่ยวจีนกรณีตกค้างอยู่ในไทย เนื่องจากบางสายการบินหยุดบิน โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมกับเมืองอู่ฮั่น และเตรียมหาตลาดทดแทนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งอาจจะหยุดเดินทางอย่างน้อย 3 เดือน”.