นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานแถลงข่าว “กรุงศรีไขปมค่าเงินบาท ปีชวดที่ไม่ชวด” ว่า แนวโน้มค่าเงินบาทในปีหน้า (2563) ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่เป็นการแข็งค่าที่ชะลอตัวลง และเคลื่อนไหวเกาะ ประเทศในภูมิภาคมากขึ้น โดยกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 29.25-31.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2563 ค่าเงินบาทมีแนวโน้มหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ไม่ทะลุ 20.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
“ในปีหน้าอัตราการแข็งค่าของเงินบาทมีแนวโน้มชะลอตัว และแข็งค่าขึ้นอีก 1-2% จากต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเงินบาทได้แข็งค่าไปแล้ว 7.4% และหากย้อนหลังไป 4 ปี เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นไปแล้ว 16% นับเป็นการแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ”
ทั้งนี้ ในปีหน้าคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะ คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา การส่งต่อมีประสิทธิผลจำกัด ไม่ได้ช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรผ่านจุดต่ำสุด และธนาคารกลางในภูมิภาคใกล้หยุดปรับลดดอกเบี้ยแล้ว นอก จากนี้ภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกจะมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด อาจลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง และมีแนวโน้มเงินทุนจะไหลเข้าไทยจากปีนี้ที่ไหลออก เพราะสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งปรับเพิ่มเรตติ้งประเทศไทย เพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
สำหรับปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทในปีหน้า ที่มีน้ำหนักอย่างมาก มาจากปัจจัยต่างประเทศ อาทิ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่คาดว่า ยังยืดเยื้อต่อไป และการเมืองในสหรัฐฯที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 3 พ.ย.63 ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการคัดเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 รวมทั้งรอยต่อการที่สหราชอาณาจักรจะออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่ต้องติดตามคืน ภายในเดือน ก.พ.2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) บังคับใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 และการ สรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ สำหรับวาระปี 2563-2568 ซึ่งมีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของไทย.