ร้องระงมหา 32 บาทต่อดอลลาร์
นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วยสภาหอฯ, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า กกร.เตรียมทำหนังหนังสือถึงกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหารือร่วมกับ กกร.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยอาจมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อหามาตรการและแนวทางดูแลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทระยะกลางและระยะยาว ไม่ให้แข็งค่าเพื่อที่จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2563 ได้มากขึ้น
“ข้อเสนอให้ตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบมากขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องในปีหน้า ซึ่งมาตรการที่จะลดผลกระทบ นอกเหนือจากนโยบายด้านดอกเบี้ยแล้ว อาจต้องมีด้านอื่นๆ อาทิ เพิ่มระยะเวลาการพักเงินรายได้ จากการส่งออกในรูปเงินตราต่างประเทศการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ส่งออกเร็วขึ้น”
ทั้งนี้ กกร.ยังคงกรอบประมาณการเศรษฐกิจไทย การส่งออกและเงินเฟ้อปีนี้ไว้คงเดิม โดยอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ยังจะเติบโต 2.7-3% ส่งออกติดลบ 2-0% เงินเฟ้อ 0.8-1.2% เนื่องจากมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทย ยังอยู่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว, สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน, ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ส่งผลต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยให้ลดลง
“กรณีที่สหรัฐฯประกาศตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรทางการค้า (จีเอสพี) กับไทยมีผลวันที่ 25 เม.ย.2563 คาดว่ากระทบต่อการส่งออก 1,500-1,800 ล้านบาทต่อปี แม้ผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัด แต่รัฐบาลต้องเร่งเจรจากับสหรัฐฯก่อนถึงเงื่อนเวลาตัดสิทธิ”
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า อยากเห็นค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากขณะนี้เงินบาทแข็งค่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าส่งออก ปีนี้จะหายไป 300,000 ล้านบาท จึงต้องหาแนวทางดูแลที่ไม่ได้มองแค่ระยะสั้น แต่ต้องมองระยะกลางและยาว เพราะภาคส่งออกคิดเป็น 70% ของจีดีพี.