นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับสมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกว่า ได้ขอความร่วมมือให้สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทยจัดทำข้าวสารเหนียว 10% บรรจุถุง ภายใต้แบรนด์กรมฯ รวม 2 ขนาด คือ 2 กิโลกรัม (กก.) และ 5 กก. จำนวน 200,000-300,000 ถุง หรือ 500-1,000 กก. และต้องเป็นข้าวปี 61/62 เท่านั้น เพื่อขายราคาถูกให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย บรรเทาความเดือดร้อน ในช่วงนี้ที่ข้าวเหนียวราคาสูงกว่าทองคำ เริ่มวางตลาดต้นเดือนก.ย.นี้
สำหรับราคาขายจะขายให้ได้ที่ กก.ละ ไม่เกิน 35 บาท จากราคาตลาดปัจจุบันที่ กก.ละ 45-50 บาท หรือต่ำกว่า กก.ละ 10-15 บาท โดยขนาด 2 กก. อาจขายได้ถุงละ 70 บาท ส่วน 5 กก.ถุงละ 175 บาท โดยกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆที่บริโภคข้าวเหนียว เช่น ภาคเหนือบางส่วน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงกรุงเทพฯ ผ่านร้านธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น 40,000 แห่ง และห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และห้างสรรพสินค้า ส่วนการซื้อผ่านร้านธงฟ้าให้สิทธิ์ทั้งผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนทั่วไปซื้อได้ ส่วนการซื้อในห้างจะให้เฉพาะผู้ถือบัตรเท่านั้น และอาจจำกัดการซื้อด้วย เช่น ขนาด 2 กก.ให้ซื้อได้คนละไม่เกิน 3 ถุง ขนาด 5 กก.คนละไม่เกิน 1 ถุง
ทั้งนี้ กรมฯจะจ่ายค่าดำเนินการให้กับผู้ผลิตข้าวถุง เช่น ค่าบรรจุถุงอาจให้ที่ถุงละ 5-10 บาท ส่วนค่าขนส่งจะให้หรือไม่ ต้องหารืออีกครั้ง ยืนยันว่าการผลิตข้าวสารเหนียวบรรจุถุงขายราคาถูก ไม่ได้บิดเบือนกลไกตลาด เพราะเน้นช่วยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ชอบบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก อีกทั้งปริมาณเพียง 200,000-300,000 ถุง ไม่ถือว่ามากที่จะบิดเบือนกลไกตลาดได้ และไม่น่าจะกระทบ กับราคาข้าวเปลือกเหนียว ฤดูการผลิตใหม่ที่จะเริ่มออกสู่ตลาดเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งเมื่อผลผลิตข้าวใหม่ออกแล้ว ราคาอาจจะคลี่คลาย หรือไม่ต้องผลิตข้าวเหนียวถุงเพิ่มอีก
“การกำหนดให้ผู้มีข้าวเหนียวในครอบครองรายงานสต๊อกมายังกรมฯภายในวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้แจ้ง 600 ราย ปริมาณ 40,000 ตัน หลังจากนี้พาณิชย์จังหวัดและค้าภายในจังหวัดจะลงพื้นที่ตรวจสอบสต๊อกทั่วประเทศ เพื่อตรวจว่าตัวเลขตรงกันหรือไม่ ขอให้เกษตรกรอย่าแห่ปลูกข้าวเหนียว เพราะเห็นว่าปีนี้ขายได้ราคาดี โดยหากผลผลิตมีมากเกินไป อาจฉุดให้ราคาตกต่ำได้”.