ช่อง 3 รั้งท้ายคืน 2 ช่องเคาะจอดำ 1 ต.ค.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า การออกคำสั่ง คสช.เรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาความต่อเนื่องของกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมทั้งการขยายบริการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ที่ 8/2562 เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ของใคร โดยเมื่อรัฐบาลชุดนี้ยังไม่ได้แก้ไข พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม (พ.ร.บ.กสทช.) เกี่ยวกับการสรรหา กสทช.ชุดใหม่ ก็ต้องรอให้รัฐบาลชุดหน้า เป็นผู้พิจารณากฎหมายต่อไป เมื่อกฎหมายยังไม่ออก ก็ยังไม่สามารถสรรหากรรมการ กสทช.ได้ ถ้ากรรมการ กสทช.ที่เหลือต้องลดจำนวนลง เพราะมีที่อายุเกินเงื่อนไข การพิจารณาเรื่องต่างๆจะมีปัญหาทั้งหมด จึงต้องให้ทุกคนทำงานไปก่อน
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กสทช.ได้รับเอกสารการขอรับเงินคืน สำหรับการเยียวยาจากคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัลครบ 7 ช่องแล้ว โดยได้พิจารณาทยอยคืนเงินแล้ว 5 ช่อง คือ ช่อง 19 สปริงนิวส์ วงเงิน 500 ล้านบาท, ช่อง 26 สปริง วงเงิน 675 ล้านบาท, ช่อง 20 ไบร์ททีวี วงเงิน 371 ล้านบาท, ช่อง 21 วอยซ์ทีวี วงเงิน 378.45 ล้านบาท และ ช่อง 14 อสมท แฟมิลี่ 163.29 ล้านบาท ส่วนช่อง 13 แฟมิลี่ และช่อง 28 เอสดี ในเครือช่อง 3 นั้น ขอคืนวงเงิน 162.54 ล้านบาท และ 680.08 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นเงินที่ กสทช.ต้องคืนเงินให้กับทีวีดิจิทัล 7 ช่อง รวมราว 2,932 ล้านบาท สำหรับการยุติการออกอากาศ ทยอยยุติตั้งแต่ 16 ส.ค. 2562 ถึงสุดท้ายส่วนช่อง 13 ช่อง 28 จอดำวันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป.