บัตรคนจนรูดปื๊ดไม่สะดุด รัฐบาลใหม่มีเงินใช้ 1.2 ล้านล้านบาท

สำนักงบประมาณออกโรงการันตี งบประมาณปี 63 ล่าช้า ไม่กระทบรัฐบาลชุดใหม่ มีเงินใช้แน่ๆ 1.2 ล้านล้านบาท แม้งบประมาณปี 63 ยังไม่ประกาศใช้ แย้มงบลงทุนผูกพัน 2.5 แสนล้านบาท ส่วนบัตรคนจน ยังมีเหลืออีก 4 หมื่นล้านบาท หากไม่พอใส่เพิ่มให้อีก 2 หมื่นล้านบาท

นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่าจากกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ประเทศไทยจะมี ครม.ชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศในกลางเดือน ก.ค.นี้ และสำนักงบประมาณได้ประเมินว่า หากพิจารณาจากปฏิทินปีงบประมาณแล้ว จะสามารถเริ่มต้นกำหนด กรอบวงเงินได้ทันที โดยสำนักงบประมาณ จะได้ประสานไปยังกระทรวงต่างๆ เพื่อให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ไปหารือกับหน่วยงานราชการในสังกัด เพื่อร่วมกันทบทวนรายละเอียดคำของบประมาณและส่งกลับมาที่สำนักงบประมาณอีกครั้ง คาดว่า ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ดำเนินการ

ดังนั้น ในเดือน ส.ค. นี้ หลังจากรัฐบาลชุดใหม่ เมื่อมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วสำนักงบประมาณจะนำกรอบงบประมาณปี 2563 เข้าสู่ที่ประชุม ครม.เพื่อขอความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำกรอบวงเงินงบประมาณไปจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 พร้อมทั้งจัดทำการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ก่อนเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ให้ ครม. พิจารณาอีกครั้งในเดือน ก.ย. จากนั้นจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ในเดือน ต.ค. โดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน 125วัน ในชั้นการพิจารณาสภาผู้แทนราษฎร 105 วันและวุฒิสภา 20 วัน หลังจากนั้นนำร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ขึ้นทูลเกล้าฯถวาย คาดว่า พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 จะประกาศใช้ในเดือน ม.ค.2564

นายเดชาภิวัฒน์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้ประเมินว่า งบประมาณปี 2563 จะเริ่มใช้ได้ในเดือน ธ.ค.นี้ แต่ขณะนี้คงต้องเลื่อนออกไปแล้วคาดว่า จะใช้ได้ในเดือน ม.ค.2563 ดังนั้น ระหว่างเดือน ก.ย.-ธ.ค. จึงสามารถใช้งบประมาณของปี 2562 ไปได้ตามปกติ โดย พ.ร.บ.วิธีการพิจารณางบประมาณ ได้อนุมัติให้สำนักงบประมาณสามารถนำงบประมาณออกมาบริหารได้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับส่วนราชการ เอกชน และประชาชน ในวงเงินไม่เกินกึ่งหนึ่ง หรือไม่เกิน 50% ของกรอบงบประมาณปี 2562 โดยปีงบประมาณ 2562 มีกรอบวงเงินงบประมาณ 3 ล้านล้านบาท

ดังนั้น การใช้จ่ายในช่วงที่ พ.ร.บ.งบประมาณใหม่ ยังไม่มีผลบังคับ ก็จะสามารถใช้จ่ายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านล้านบาท และจะต้องเป็นรายจ่ายที่เกิดจากรายจ่ายประจำ หรืองบลงทุนที่ทำสัญญาผูกพันไว้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีวงเงินที่สามารถเบิกจ่ายได้ 1.2 ล้านล้านบาท โดยในจำนวนนี้ เป็นงบลงทุนที่ก่อหนี้ผูกพันเรียบร้อยแล้ว จากปีงบประมาณ 2562 ประมาณ 200,000-250,000 ล้านบาท จากงบประมาณทั้งหมด 650,000 ล้านบาท ที่สามารถเบิกจ่ายได้จริง 400,000 ล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2562 หรือสิ้นเดือน ก.ย.นี้

สำหรับการจัดสรรงบประมาณให้แก่ประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14.5 ล้านคน ขอยืนยันว่า จะไม่มีผลกระทบกับผู้ถือบัตร เพราะช่วงที่ผ่านมา สำนักงบประมาณได้ใส่งบอุดหนุนไปครบ 100,000 ล้านบาท ตามมติ ครม.เรียบร้อยแล้ว คาดว่ายังมีงบประมาณคงเหลือที่สามารถใช้ในโครงการนี้ต่อไปได้อีก 40,000 ล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าว เพียงพอถึงเดือน ธ.ค.2562-ม.ค.2563 และหากไม่เพียงพอก็สามารถเพิ่มเติมได้อีก 50% ของวงเงิน 40,000 ล้านบาท หรือ 20,000 ล้านบาท.