ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้คณะทำงานการตรวจสอบบัญชีธุรกิจ (Due diligent) เพื่อควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) กับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ใกล้ตรวจสอบบัญชีแล้วเสร็จทั้งหมด 100% โดยต่อจากนี้จะต้องเสนอธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาอนุมัติในฐานะผู้กำกับดูแลสถาบันการเงิน ภายในเร็วๆนี้ และเมื่อมีการอนุมัติแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการรายงานต่อผู้ถือหุ้น โดยหากรายใดไม่ต้องการคงสัดส่วนการถือหุ้น ทางผู้ถือหุ้นใหญ่ อาทิ ไอเอ็นจี กรุ๊ป กระทรวงการคลัง และธนาคารธนชาต จะตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จภายในปีนี้ หรือภายในเดือน ธ.ค.นี้ โดยจะต้องเห็นธนาคารแห่งใหม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เนื่องจากเงื่อนไขของมาตรการภาษีที่กระทรวงการคลังอนุมัตินั้น กำหนดว่า กระบวนการอนุมัติควบรวมกิจการของสถาบันการเงินจะต้องแล้วเสร็จภายในปีนี้ ฉะนั้น การควบรวมกิจการของ 2 ธนาคารจะต้องแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ ภายหลังการควบรวมกิจการ ผู้ถือหุ้นหลักจะเป็น ไอเอ็นจีกรุ๊ป กระทรวงการคลัง และธนาคารธนชาต โดยขณะนี้ทุกฝ่ายได้เตรียมเม็ดเงินที่จะนำมาใส่เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นเรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนกระทรวงการคลังได้เตรียมเงินไว้ราว 10,000-13,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาจากเงินปันผลจากการลงทุนในกองทุนรวมวายุภักษ์
สำหรับการควบรวมกิจการครั้งนี้ จะทำให้ธุรกิจของธนาคารแห่งใหม่ดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะเป็นการนำจุดเด่นของแต่ละธนาคารมารวมกัน โดยทหารไทยมีธุรกิจหลักในการปล่อยกู้และระดมเงินฝาก ขณะที่ธนชาตมีธุรกิจไฟแนนซ์และเช่าซื้อที่แข็งแกร่ง จะทำให้ศักยภาพของธนาคารใหม่มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องชื่อธนาคารแห่งใหม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป และจัดกระบวนทัพด้านบุคลากรใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่ผู้บริหารระดับ CEO ลงมา แต่ยืนยันจะไม่มีการปลดพนักงานออก.