นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมา 2 ชุด เพื่อทำงานเชิงรุกดึงดูดบริษัทชั้นนำทั้งจากจีน และญี่ปุ่น ที่มีแผนขยายการลงทุนเข้ามาในอาเซียน ให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น หลังปัญหาสงครามการค้าจีนกับสหรัฐฯ ทำให้ภาคเอกชนจีนที่ส่งสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เพื่อลดผลกระทบการค้าที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ ส่วนนักลงทุนจากญี่ปุ่นยังเข้ามาลงทุนในอาเซียนมากขึ้น คือ ไทยกับเวียดนาม บีโอไอจึงต้องทำงานเชิงรุกไปชวนให้มาลงทุนในไทย
“ได้ให้บีโอไอ สนับสนุนการลงทุน ผ่านกลไกกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งมีวงเงินอยู่ 10,000 ล้านบาท แต่ใช้ไปน้อยมากเพื่อให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเข้ามาลงทุนในไทยให้ได้ ฉะนั้นบีโอไอต้องไปจัดทำรูปแบบการส่งเสริมการลงทุนให้ชัดเจนกว่าปัจจุบัน เช่น หากรายใดสามารถตั้งสถาบันเพื่อฝึกอบรมบุคลากรในสาขาที่ต้องการได้ จะได้รับสนับสนุนเงินจากกองทุน นอกจากได้สิทธิประโยชน์ภาษีแล้ว รวมทั้งให้บีโอไอส่งเสริมสถาบันการศึกษาของรัฐมากขึ้น เพื่อผลิตบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการผลิตบุคลากรแบบสาขาวิชาชีพหรืออาชีวศึกษา”
ขณะที่บีโอไอรายงานว่า การดึงการลงทุนเพื่อให้ย้ายฐานผลิตจากจีนมาไทย เพื่อผลิตสินค้าส่งไปสหรัฐฯ ยังต้องระมัดระวังไม่ให้มีผลกระทบต่อไทยด้วย ในฐานะประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ เนื่องจากปัจจุบันการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ปีนี้ขยายตัวมาก โดย 4 เดือนแรกของปี 62 ขยายตัว ถึง 25.7% ส่วนการขอรับส่งเสริมการลงทุน มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมเพิ่มขึ้นจาก 438 โครงการ เป็น 503 โครงการ หรือเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนมูลค่าการขอส่งเสริมการลงทุนลดลง 26% จาก 220,550 ล้านบาทปีก่อน มาอยู่ที่ 164,230 ล้านบาท เนื่องจากปีที่ผ่านมา มีการขอส่งเสริมการลงทุนโครงการโรงกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปมูลค่า 156,000 ล้านบาท.