“สมคิด” ยอมรับสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน จะทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างแน่นอน วอนการเมืองได้ข้อสรุป จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้ ธนาคารโลกจับมือกสิกรไทย จ่อปรับลดจีดีพีประเทศไทยใหม่
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สงครามการค้า สหรัฐฯและจีนรอบใหม่ จะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทย ชะลอตัวลงอย่างแน่นอน บวกกับสหรัฐฯมองว่า ไทยมีการกระทำ manipulate หรือการแทรกแซงค่าเงินบาท ปัจจัยดังกล่าว ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกอย่างรุนแรง แม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทย จะยังดีพอที่จะรองรับปัญหาดังกล่าว ได้แต่อาจเป็นเพียงในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญ หากปัญหาของการเมืองไทย มีความชัดเจน ทุกอย่างจะปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย จึงอยากให้ภาคการเมืองเร่งมือ ให้มีความชัดเจนให้เร็วที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และในปลายเดือน พ.ค.นี้กระทรวงพาณิชย์ ได้เรียกประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลก เพื่อใช้โอกาสนี้ประชุมกับทูตพาณิชย์ หาวิธีรับมือผลกระทบเรื่องการส่งออกที่จะเกิดขึ้น เราจึงต้องหาทางแก้เกมในเรื่องนี้ เพื่อผลักดันการส่งออก
ทั้งนี้ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะส่งผลต่อการส่งออกของไทย เนื่องจากไทยมีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 70% ของอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ทำให้ปีนี้ จีดีพีของประเทศไทยจะชะลอตัว ลงอย่างแน่นอน ที่สำคัญ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไทยอาจรุนแรงพอๆ กับที่จะเกิดขึ้นกับประเทศมาเลเซียและเกาหลีใต้ เพราะสินค้าหลักๆ ในการส่งออกของไทย ล้วนได้รับผลกระทบ ทั้งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน สินค้ากลุ่มไอที สินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งก็ไม่อยากให้นักลงทุน นักธุรกิจวิตกกังวล เนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจ ของไทยยังเข้มแข็ง
“ผมอยากให้การเมืองมีความชัดเจนโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้ และมั่นใจว่าไม่ว่าพรรคใด มาเป็นรัฐบาลก็ไม่ต้องกังวล เพราะทุกรัฐบาลรู้ว่า ต้องทำเรื่องใดบ้างในขณะนี้เพราะมันเป็นความเป็นความตายของคนในประเทศ แต่หากการเมืองยังไม่ลงตัว คนที่น่าห่วงที่สุดไม่ใช่คนไทย แต่คือนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ที่จะชะลอการลงทุน เพราะไม่มีนักธุรกิจคนใด จะโง่พอที่จะใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ในช่วงที่ไม่รู้ประเทศจะเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน ข้าราชการก็รีๆรอๆ ตามไปด้วย เพราะหากสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน ยืดเยื้อ ก็จะทำให้ทั่วโลกได้รับผลกระทบ”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาล ได้พยายามประคับ ประคองเศรษฐกิจ ให้ สามารถเดินต่อไปได้ระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีความกังวลใดๆ เพราะหาก มีรัฐบาลชุดใหม่เมื่อใด สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น แต่ทุกฝ่ายจะต้องเร่งพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะภาคเอกชน ต้องปรับปรุงกระบวนการการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของโลก โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรม
นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารโลก กล่าวว่า ในเดือน ก.ค.นี้ธนาคารโลก จะมีการปรับการคาด การณ์จีดีพีของประเทศไทยใหม่อีกครั้ง จากเดิมปีนี้จะเติบโต 3.8% และปี 2563 เติบโต 3.9% เพราะประเทศไทยมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออก ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง จากเศรษฐกิจโลกที่เติบโตลดลง เพราะสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน ที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น หลังจาก 2 ประเทศมีการขึ้นภาษีตอบโต้กัน จึงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจจีน ที่หากเติบโตลดลง จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและมาเลเซีย ที่เบื้องต้นประเมินว่าเศรษฐกิจจีนอาจเติบโต 6% ซึ่งถือว่าชะลอตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ผลกระทบจึงยังไม่ได้เกิดขึ้นมากนักในปีนี้ แต่ความไม่แน่นอนทางการค้ายังมีอยู่สูงมาก ที่อาจกระทบต่อการลงทุนให้ชะลอตัวลง
สำหรับปัจจัยการเมืองในประเทศ แม้ว่ายังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ เพราะหลายๆ โครงการลงทุนผ่านขั้นตอนการประมูลและจัดซื้อจัดจ้างไปแล้ว ที่น่ากังวล คือ การลงทุนในอีก 3 ปีข้างหน้า หลายๆโครงการอาจจะชะลอออกไป เพราะยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ธนาคารฯ ก็จะปรับลดการขยายตัวของจีดีพี ของประเทศไทยเช่นกัน จากเดิมคาดว่าเติบโต 3.7% รวมทั้งลดการขยายตัวของการส่งออกที่คาดว่าเติบโต 3.2% เนื่องจากเศรษฐกิจโลก ที่ชะลอตัวลงและสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน โดยขอรอดูตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกปีนี้ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่จะเปิดเผยออกมา ในวันที่ 21 พ.ค.นี้และธนาคารฯ คาดว่าจีดีพีไตรมาสแรกจะ