นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มรอบ 2 โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงสกัด ที่สมัครเข้าร่วมโครงการ เพิ่มอีก 200,000 ตัน จากก่อนหน้านี้รับซื้อไปแล้ว 160,000 ตัน เพื่อนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า และดึงให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ รวมถึงผลปาล์มสดสูงขึ้นว่า ล่าสุด หลังจากตรวจสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบของโรงงานสกัดทั่วประเทศไปแล้ว ซึ่งพบว่ามีรวมกัน 200,000 ตันนั้น กรม ได้จัดส่งรายชื่อโรงสกัดพร้อมสต๊อกไปให้ กฟผ.เพื่อใช้พิจารณาคัดเลือกโรงสกัดที่จะยื่นใบสมัครขายน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ กฟผ.แล้ว
ทั้งนี้ หลังจากที่ กฟผ.คัดเลือกได้ผู้ที่จะขายน้ำมันปาล์มดิบให้แล้ว จะตรวจสอบสต๊อกของโรงสกัด ที่ผ่านการคัดเลือกและจะทำสัญญาซื้อขายกับ กฟผ. รวม 2 ครั้ง คือ ก่อนส่งมอบ และหลังส่งมอบ เพื่อป้องกันโรงสกัดเอาสต๊อกเก่าของตนเองมาส่งมอบ แต่ต้องการให้โรงสกัดซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกรมาสกัดเอาน้ำมันดิบเพื่อส่งมอบให้ กฟผ. ซึ่งจะช่วยดึงให้ราคาผลปาล์มสูงขึ้นได้ “ราคาน้ำมันปาล์มดิบที่กรมกำหนดให้ กฟผ.ควรรับซื้อจากโรงสกัดอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 16.25-16.50 บาท ซึ่งพิจารณาจากราคา ส่งมอบ ณ กรุงเทพฯ รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆของโรงสกัด เช่น ค่าขนส่ง ค่ารักษาคุณภาพ ค่าสูญเสีย ค่าประกันภัยสินค้า ค่าประกันสัญญา เป็นต้น โดยราคานี้ทำให้โรงสกัดต้องซื้อผลปาล์มสดจากเกษตรกร กก.ละ 2.50-3.00 บาท”
อย่างไรก็ตาม การที่ กฟผ.ซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคานำตลาดที่ กก.ละ 16.20-16.50 บาท จากปัจจุบันราคาตลาดที่ กก.ละ 16.00 บาท จะไม่ส่งผลให้ต้นทุนค่าผลิตกระแสไฟฟ้าของ กฟผ.เพิ่มขึ้น และไม่ทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าไฟฟ้าสูงขึ้น เพราะ กฟผ.จะหาทางลดต้นทุนการผลิต และจะหารือกับกระทรวงการคลังในเรื่องนำส่งรายได้เข้ารัฐ สำหรับการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ 200,000 ตันครั้งนี้จะเสร็จสิ้นเดือน มิ.ย.62 ทำให้คาดว่ากลางเดือน มิ.ย.62 เป็นต้นไป ราคาผลปาล์มสดจะขึ้นมาอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า กก.ละ 3.00 บาท และราคาน้ำมันปาล์มดิบจะไม่ต่ำกว่า 16.00 บาทจากปัจจุบัน ผลปาล์มสดที่ จ.กระบี่ และสุราษฎร์ธานี กก.ละ 2.00-2.40 บาท และน้ำมันปาล์มดิบ กก.ละ 15.00-16.00 บาท จึงขอเชิญชวนโรงสกัดสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ กฟผ. สำนักงานใหญ่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.